xs
xsm
sm
md
lg

การเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนกำลังทะลวงผ่าทางตันสำเร็จ ทว่าตลาดการเงินทั้งหลายกลับยังคงเอื่อยเฉื่อยไม่รู้เหนือรู้ใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ไนเจล กรีน


การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังขยับใกล้ทำความตกลงกันได้ยิ่งกว่าที่พวกนักลงทุนและตลาดการเงินทั่วโลกคิดกัน สำหรับภาพนี้ซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ  ขุนคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ หัวหน้าคณะฝ่ายสหรัฐฯ จับมือกับ รองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง ที่เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายจีน ระหว่างเจรจากันที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2025
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/09/markets-sleeping-on-us-china-trade-breakthrough/)

Markets sleeping on US-China trade breakthrough
by Nigel Green
18/09/2025

การยึดติดแน่นแฟ้นอยู่กับความคิดเห็นที่ว่า สหรัฐฯกับจีนกำลังประจันหน้ากันเรื่องแล้วเรื่องเล่า และการเจรจาต่อรองทางการค้าก็เป็นเพียงการเล่นละครเท่านั้น กลายเป็นสิ่งซึ่งบดบังทำให้พวกนักลงทุนทั่วโลกตามไม่ทันการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกัน ซึ่งทั้งวอชิงตันและปักกิ่งสามารถนำเอามาเล่าอวดว่าได้รับชัยชนะในสงครามการค้า

เซอร์ไพรซ์มาก พวกนักลงทุนทั่วโลกจำนวนมากทีเดียวพากันมองไม่เห็นฟังไม่ได้ยินดนตรีในมู้ดบวกๆ ที่กำลังปรากฏออกมาจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ตลาดในทุกหนทุกแห่งยังคงไม่ได้นำเรื่องนี้มาคำนวณกันอย่างจริงจัง โดยที่มันสมควรส่งผลให้ระดับราคาพุ่งสูงขึ้นไป

อาการทอดหุ่ยไม่ใส่ใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่สะดุดตา ขณะที่ระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งกับอันดับสองของโลกกำลังเคลื่อนคืบหน้าเข้าสู่การรอมชอมกันทางการค้า ซึ่งน่าที่จะเกิดผลดีอย่างใหญ่โตแก่ทั้งสองฝ่ายบนสองฟากของแปซิฟิก

รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ และ ผู้แทนการค้า เจมีสัน กรีเออร์ ของทางสหรัฐฯ ได้ใช้เวลาเป็นแรมเดือนทีเดียวในการเจรจาแบบเดี๋ยวเปิดขึ้นเดี๋ยวขาดหายกับฝ่ายปักกิ่ง อย่างไรก็ดี ในรอบล่าสุดนี้ซึ่งจัดขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศสเปนในกรุงมาดริดเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

ข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวเพื่อพักการใช้อัตราภาษีศุลกากรระดับตัวเลขสามหลักตอบโต้ต่างตอบแทนกัน เวลานี้ได้ถูกขยายออกไปอีกจนถึงเดือนพฤศจิกายน พวกประเด็นปัญหาอ่อนไหวทั้งหลาย ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องการถ่ายโอนเทคโนโลยี, ภาวะศักยภาพการผลิตทางอุตสาหกรรมล้นเกิน, และระเบียบกฎเกณฑ์เกี่ยวข้องกับข้อมูล ในที่สุดแล้วก็ถูกนำมาวางแบบนโต๊ะพรั่งพร้อมด้วยรายละเอียดเพื่อให้หยิบยกมาพูดคุยต่อรองกัน

ปริมาณการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯมีอยู่กับจีน ซึ่งยืนอยู่ในระดับเกือบๆ 300,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว กำลังลดต่ำลงระดับหนึ่ง โดยมาอยู่ที่ 128,000 ล้านดอลลาร์เมื่อคำนวณจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกำลังทำนายว่าจะหดแคบลงอย่างน้อยที่สุดถึง 30% ทีเดียวในตลอดทั้งปี 2025 นี้ แล้วยังจะลงต่ำไปอีกในปี 2026

กระนั้นก็ตาม พวกนักลงทุนในทั่วโลกยังคงปักหลักแน่นแฟ้นอยู่กับเรื่องเล่า ซึ่งเน้นหนักที่การเผชิญหน้ากันอย่างไม่รู้จบระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง และยังคงพากันถือเงินสดตลอดจนพวกสินทรัพย์ปลอดภัยความเสี่ยงต่ำเอาไว้ ราวกับว่าจุดยืนที่สมเหตุสมผลมีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ การระวังป้องกันเอาไว้ก่อน สภาพเช่นนี้เป็นการวินิจฉัยอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับแรงจูงใจต่างๆ ในปัจจุบันซึ่งกำลังดึงให้สหรัฐฯกับปักกิ่งมุ่งหน้าเข้าสู่การประนีประนอมปรองดองกัน

สำหรับสหรัฐฯนั้น การคำนวณผลได้ผลเสียทางการเมืองมีความชัดเจนมาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะต้องเจอกับศึกเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2026 โดยที่พวกผู้ออกเสียงยังคงรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องราคาของสิ่งต่างๆ

การผ่อนปรนคำขู่เกี่ยวกับภาษีศุลกากร สามารถช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และให้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้นแก่พวกบริษัทอเมริกันเกี่ยวกับต้นทุนต่างๆ ที่จะต้องเพิ่มสูงขึ้น พวกอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯก็ได้ประโยชน์เมื่อความไม่แน่ไม่นอนในเรื่องห่วงโซ่อุปทานจางหายไป และพวกผู้ส่งออก—ตั้งแต่สินค้าการเกษตรไปจนถึงเครื่องจักรกลระดับไฮเอนด์— ต่างต้องการให้มีกำแพงกีดกันน้อยลงในการเข้าสู่ตลาดจีน

การได้ข้อตกลงที่น่าเชื่อถือสักฉบับหนึ่งกับจีน จะทำให้ทำเนียบขาวเอามาอวดได้ว่าเป็นชัยชนะทางเศรษฐกิจชนิดจับต้องได้ โดยที่ไม่ต้องลงแรงเพื่อผลักดันนโยบายการเงินแบบหั่นลดกันแรงๆ ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงมา 0.25% เมื่อวันพุธ (17 ก.ย.) พร้อมกับระบุด้วยว่ายังจะมีการลดอีก 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ตามมาในช่วงต่อไปของปีนี้

สำหรับทางจีนก็มีอะไรที่จะได้อย่างมากมายเช่นเดียวกัน อุปสงค์ภายในประเทศเวลานี้ยังอยู่ในภาวะอ่อนตัว ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงตกอยู่ใต้แรงบีบคั้นอย่างแรง และการไหลออกของเงินทุนก็กำลังเร่งตัวขึ้นอีก

การสร้างความมั่นคงให้แก่ความสามารถในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯได้อย่างน่าเชื่อถือ ย่อมก่อให้เกิดการจ้างงานอย่างสม่ำเสมอในบรรดาอุตสาหกรรมส่งออกต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดรายรับด้านภาษีอากร ขณะที่เรื่องเสถียรภาพทางการเมืองคือสิ่งที่คณะผู้นำของปักกิ่งให้ความสำคัญในระดับสูงสุด และความคืบหน้าในเรื่องการค้าย่อมช่วยทำให้พลเมืองและนักลงทุนบังเกิดความมั่นใจขึ้นมาอีกว่า เป้าหมายด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กำหนดเอาไว้ เป็นสิ่งซึ่งยังคงสามารถบรรลุถึงได้

ผลประโยชน์ที่มีอยู่ร่วมกันเช่นนี้ คือเหตุผลที่ทำให้การเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังบังเกิดดอกผลมากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตัวรัฐมนตรีคลังเบสเซนต์เองก็ถึงกับออกปากชี้ว่าในการพบปะหารือกันแต่ละครั้ง สามารถก่อให้เกิดเนื้อหาสาระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นจริงเช่นนี้คือสิ่งที่คอยตอกย้ำลดทอนความน่าเชื่อถือของการกล่าวอ้างตามๆ กันจนกลายเป็นแฟชั่นไปเสียแล้ว ที่ว่าการพูดจาด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเป็นเพียงเวทีแสดงละครแค่นั้น

พวกนักลงทุนซึ่งปฏิเสธไม่พิจารณาพัฒนาการต่างๆ เหล่านี้ เป็นผู้ที่กำลังมองข้ามลักษณะอสมมาตรประการหนึ่งที่มีความสำคัญมาก นั่นคือ พวกปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงซึ่งคอยดึงให้ราคาหลักทรัพย์ต่างๆ ลดต่ำลง เป็นต้นว่า ภาษีศุลกากรอัตราใหม่ และภาวะช็อกจากการสะดุดติดขัดของห่วงโซ่อุปทาน เหล่านี้ล้วนแต่กลายเป็นปัจจัยซึ่งตลาดทราบกันดีอยู่แล้ว และส่งผลต่อราคาในตลาดไปเรียบร้อยแล้วด้วย ขณะที่พวกปัจจัยด้านบวกที่จะดึงให้ราคาสูงขึ้น เป็นต้นว่า ข่าวเรื่องที่สองฝ่ายอาจทำความตกลงกันได้แม้กระทั่งเพียงบางส่วน กลับเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้ส่งผลต่อตลาด

ลองพิจารณาดูเถอะ เมื่อความเสี่ยงด้านภาษีศุลกากรลดน้อยลง มันย่อมทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งทางเรือและด้านลอจิสติกส์อื่นๆ ในทั่วโลกลดต่ำลงด้วย จึงเป็นการผ่อนคลายแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในตลอดทั่วโลกทีเดียว และยังส่งผลในทางสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายเงินทุนหลังจากถูกเก็บแช่แข็งเอาไว้ก่อนมาเป็นแรมปี

ตลาดต่างๆ ที่พึ่งพาอาศัยการค้าแบบเปิดกว้างเสรี จะกลายเป็นผู้ชนะไปในทันที อุตสาหกรรมการผลิตระดับก้าวหน้า, เซมิคอนดักเตอร์, การทำเหมืองและการแปรรูปแร่แรร์เอิร์ธ, และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ล้วนแล้วแต่สามารถที่จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนเรตติ้งไปในทางบวกมากขึ้นกันทั้งนั้น พวกระบบเศรษฐกิจในเอเชียที่ได้บูรณาการเข้าอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน “จีน+1” (China-plus-one) จะได้รับประโยชน์ ขณะที่บริษัททั้งหลายกล้าลงทุนด้วยความมั่นอกมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมนักหนา

การตอบรับแบบระแวดระวังที่เกิดขึ้นอยู่จนถึงขณะนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยความเคยชินมากกว่าเป็นการวิเคราะห์วิจัยอย่างรอบรู้ หลายๆ ปีที่อยู่ในภาวะของการเผชิญหน้ากัน ได้อบรมหล่อหลอมพวกนักลงทุนให้คาดหวังว่าจะได้เห็นการล้มเหลวเสียหาย ทว่าเวลานี้หลักฐานจากสถานการณ์ที่เป็นจริงกำลังมีการปรับเปลี่ยนไปแล้ว

ยอดคำสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานของสหรัฐฯกำลังเพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกบริษัททั้งหลายเชื่อว่าสภาพแวดล้อมทางการค้าจะกลับมีเสถียรภาพในเร็ววันนี้ บรรดาบรรษัทนานาชาติก็กำลังวาดแผนที่พวกเครือข่ายซัปพลายต่างๆ ซึ่งสามารถคาดหวังได้ว่าจะมีภาวะช็อกแบบฉับพลันลดน้อยลง

ชาติสมาชิกสมาคมอาเซียนทั้งหลายกำลังดึงดูดการลงทุนต่างประเทศในระดับสูงลิ่วเป็นสถิติใหม่ ขณะที่การผลิตมีลักษณะกระจายตัวออกไปมากขึ้นกว่าเดิมทว่าก็ยังคงเชื่อมโยงอยู่กับจีน –นี่เป็นสัญญาณของการวางแผนระยะยาว ไม่ใช่การแตกตื่นหวาดผวา

เมื่อคำนึงในแง่ที่ว่าการทำความตกลงกันได้จะส่งผลเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างไรบ้าง ก็เห็นได้ว่ามันก็เป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างซึ่งผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายขยับเข้าหากัน สำหรับวอชิงตันแล้ว มันจะเป็นการสาธิตให้เห็นว่าการเจรจาต่อรองด้วยท่าทีเหนียวแน่นไม่ผ่อนปรนง่ายๆ สามารถได้ผลลัพธ์โดยไม่ได้ทำให้เรื่องบานปลายออกไปชนิดกู่ไม่กลับ ส่วนสำหรับปักกิ่ง มันจะเป็นกรณีตัวอย่างซึ่งแสดงว่าคณะผู้นำที่คำนึงถึงผลในทางปฏิบัติ สามารถที่จะสร้างความสมดุลระหว่างความภาคภูมิใจในชาติกับความจำเป็นในทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลของแต่ละฝ่ายต่างสามารถเสนอเรื่องเล่าเกี่ยวกับความสามารถอันพรั่งพร้อมของพวกตน ก่อนหน้าวันเวลาจะเคลื่อนผ่านไปถึงหลักหมายภายในประเทศที่สำคัญยิ่งยวด

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีอะไรบ่งบอกเลยว่า มันจะเป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายดายและครอบคลุมกว้างขวาง ดังนั้น การตรวจสอบและการบังคับใช้ปฏิบัติข้อตกลงใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นมา จะเป็นเรื่องที่สำคัญถึงขั้นชี้เป็นชี้ตาย ตลาดทั้งหลายควรตรวจสอบให้ถี่ถ้วนถึงพวกข้อผูกพันที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งหลาย ไม่ว่าในเรื่องของอัตราภาษีศุลกากร, มาตรการปกป้องเทคโนโลยี, และการอุดหนุนทางอุตสาหกรรม

การมีส่วนร่วมของบรรดาพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหภาพยุโรป และพวกระบบเศรษฐกิจเอเชียรายหลักๆ จะเป็นตัววินิจฉัยตัดสินว่าข้อตกลงสหรัฐฯ-จีนใดๆ ก็ตามที มีความคงทนถาวรมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม การเฝ้ารอคอยให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์พร้อมเสียก่อนแล้วจึงค่อยดำเนินการจัดสรรเงินลงทุนกันใหม่ ในตัวของมันเองก็คือการวางเดิมพันแบบเก็งกำไรแบบหนึ่งนั่นเอง โอกาสเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาได้ ไม่ใช่ด้วยการถอยฉากหลบลี้ แต่อยู่ที่การเข้ามีปฏิสัมพันธ์อีกครั้งอย่างฉลาดหลักแหลม

การเติบโตของทั่วโลกในระยะต่อไป น่าจะสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของการต่อรองอย่างคำนึงถึงผลในทางปฏิบัติระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง

ผู้คนที่เต็มอกเต็มใจจะยอมรับว่าข้อตกลงทางการค้าไม่ใช่เป็นการยินยอมอ่อนข้อของฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็นการที่ระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกทั้งสองต่างก็ได้ผลดีร่วมกัน จะเป็นพวกที่อยู่ในตำแหน่งดีที่สุดซึ่งสามารถไขว่คว้ารางวัลมาครอบครอง ขณะที่การเอาแต่มองโลกในแง่ร้าย จักต้องหลีกทางให้แก่ความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า

ไนเจล กรีน เป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้งกลุ่มเดอเวียร์ (deVere Group) หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและองค์การด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) อิสระรายใหญ่ที่สุดของโลก เขาเขียนเรื่องให้เอเชียไทมส์อย่างสม่ำเสมอมานานปี
กำลังโหลดความคิดเห็น