(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/11/fujian-carrier-a-flashy-flex-but-not-a-game-changer/)
Fujian carrier a flashy flex but not a game-changer
by Gabriel Honrada
08/11/2025
จีนนำ “ฝู่เจี้ยน” เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่สุดของตนเข้าประจำการแล้ว เป็นการเปิดฉากย่างก้าวไปสู่การสำแดงกำลังทางนาวีในน่านน้ำทะเลลึกของแดนมังกร รวมทั้งเป็นการคุกคามเพิ่มแรงกดดันต่อไต้หวัน ทว่ายังไม่สามารถเบียดขับลิดรอนความเหนือล้ำกว่าใครๆ ของกองทัพเรืออเมริกันได้
เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ล่าสุดของจีนที่มีชื่อว่า “ฝู่เจี้ยน” ได้เข้าประจำการแล้ว เป็นการเดินหน้าครั้งใหญ่ตามความมุ่งมั่นปรารถนาของแดนมังกรในการสำแดงกำลังสู่แนวห่วงโซ่เกาะแนวที่ 2 (Second Island Chain) และทดสอบท้าทายความเป็นเลิศเหนือกว่าใครๆ ในทางนาวีของสหรัฐฯ ตั้งแต่เกาะไต้หวันไปจนถึงทะเลจีนใต้
ตามรายงานของสื่อสำนักต่างๆ [1],[2],[3], เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จีนได้จัดพิธีนำเรือบรรทุกเครื่องบินฝู่เจี้ยนเข้าประจำการ ขึ้นที่ฐานทัพเรือซานย่า (Sanya) บนเกาะไหหลำ (ไห่หนาน) โดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นประธาน ซึ่งเป็นการตอกย้ำตอกย้ำความมุ่งมั่นของ สี ในการสร้างกองนาวีที่สามารถปฏิบัติการในน่านน้ำสีครามแห่งทะลึกลึกและมหาสมุทรใหญ่ขึ้นมา
ฝู่เจี้ยน ซึ่งมีระวางขับน้ำขนาด 80,000 ตัน เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่จีนต่อขึ้นเองทั้งหมด เป็นลำแรก แต่เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สามแล้วที่แดนมังกรนำเข้าประจำการอยู่ในเวลานี้ เรือลำนี้ได้รับการติดตั้งระบบปล่อยเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยพลังแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic catapults) ที่สามารถปล่อยทั้งเครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีหลีกเร้นเรดาร์ (stealth fighters) รุ่น J-35, เครื่องบินโจมตี (strike aircraft) J-15T, และเครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้า (early-warning planes) รุ่น KJ-600 ซึ่งล้วนเป็นเครื่องบินรบที่มีน้ำหนักบรรทุกมากขึ้นและพิสัยทำการไกลขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องบินซึ่งประจำอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินลำก่อนๆ ของแดนมังกร จึงช่วยลดช่องว่างเชิงคุณภาพที่อยู่ห่างจากพวกเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯลงมา
การขึ้นระวางเข้าประจำการของ ฝู่เจี้ยน จึงเป็นการเสริมสร้างความสามารถของจีนในการสำแดงแสนยานุภาพทางอากาศและทางทะเล, ขยายขอบเขตการเฝ้าระวัง และสร้างแรงกดดันที่มีต่อไต้หวัน ตลอดจนพวกประเทศคู่แข่งที่มีข้อพิพาทอยู่กับแดนมังกรในเรื่องพื้นที่ทางทะเลในภูมิภาคแถบนี้, ขณะเดียวกันก็สามารถให้ความสนับสนุนการปฏิบัติการและพวกจุดส่งกำลังบำรุงต่างๆ ในพื้นที่ห่างไกลออกไปกว่าเดิม
กองกำลังเรือบรรทุกเครื่องบินของจีน ยังคงตามหลังสหรัฐฯ ในด้านจำนวน โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบินเพียง 3 ลำ ขณะที่สหรัฐฯมีเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์อันเหนือชั้นอยู่ถึง 11 ลำ นอกจากนั้นแล้ว จีนน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีสำหรับการสะสมเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญ ทั้งในการปล่อยเครื่องบินขึ้นสู่อากาศด้วยระบบใหม่ๆ อันทันสมัย, การตั้งฐาน, การใช้ระบบต่างๆ ที่ซับซ้อน, และการปฏิบัติการสู้รบ
แต่ขณะเดียวกัน จากภาพถ่ายดาวเทียมและคำแถลงอย่างเป็นทางการ ต่างบ่งชี้ว่าแดนมังกรยังกำลังมีความคืบหน้าในการต่อเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สี่ ซึ่งได้รับการเรียกขานกันว่า “ไทป์ 004” (Type 004) ที่น่าจะมีขนาดใหญ่โตกว่าฝู่เจี้ยน รวมทั้งน่าจะใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นตัวขับเคลื่อน จึงเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการเพิ่มเสริมกำลังความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความกังวลระแวงระไวให้กับญี่ปุ่นและพันธมิตรอื่นๆ ในเอเชียของสหรัฐฯ รวมทั้งยิ่งเน้นย้ำการประเมินของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) [4] ที่ว่าจีนกำลังพัฒนาสมรรถนะขีดความสามารถของตนอย่างรวดเร็ว เพื่อต่อสู้ท้าทายกับระเบียบระดับภูมิภาค และในที่สุดก็กระทั่งระเบียบโลกด้วย ซึ่งสหรัฐฯอยู่ในฐานะครอบงำเหนือกว่าใครๆ อยู่ในเวลานี้
ฝู่เจี้ยน ของจีน อาจถูกมองในฐานะที่เป็นเป็นวิวัฒนาการต่อเนื่องของโครงการเรือบรรทุกเครื่องบินของแดนมังกร ซึ่งเริ่มต้นจากการปรับปรุงยกระดับเรือบรรทุกเครื่องบินเก่า ชื่อ “วาร์ยัก” (Varyag) ของสหภาพโซเวียตให้กลายเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง (Liaoning) จากนั้นจึงต่อเรือรุ่นที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยตนเอง อันได้แก่เรือบรรทุกเครื่องบินซานตง (Shandong) แล้วถัดมาก็พัฒนานวัตกรรมด้วยการออกแบบอันทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ถนัดชัดเจน โดยเริ่มจากเรือที่ยังใช้พลังงานแบบดั้งเดิมอยู่ ซึ่งคือ ฝู่เจี้ยน จากนั้นจึงหันเข้าสู่การใช้พลังงานนิวเคลียร์
ไม่น่าเป็นไปได้ที่จีนจะหยุดอยู่แค่เรือบรรทุกเครื่องบิน 4 ลำ เนื่องจากกองกำลังจำนวน 3 ลำอาจถือได้ว่าเป็นกำลังขั้นต่ำซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานเรือบรรทุกเครื่องบินออกปฏิบัติการอย่างมีความยั่งยืน โดยที่ 1 ลำอยู่ในทะเล, 1 ลำอยู่ระหว่างการฝึกอบรม, และอีก 1 ลำอยู่ระหว่างการปรับปรุงและซ่อมบำรุง ดังนั้น กองทัพเรือที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน 6 ลำ จะช่วยให้จีนสามารถคงเรือประเภทนี้เอาไว้ในทะเลได้ตลอดเวลาจำนวน 2 ลำ, มีเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ระหว่างการฝึกอบรม 2 ลำ, และอีก 2 ลำอยู่ระหว่างการปรับปรุงและซ่อมบำรุง
นอกจากนี้ พิจารณาจากแง่มุมทางยุทธการ จีนจำเป็นต้องมีเรือบรรทุกเครื่องบินอย่างน้อยที่สุด 2 ลำเพื่อใช้ในการขนาบข้างเกาะไต้หวัน จากช่องแคบมิยาโกะ (Miyako Strait) และจากช่องแคบบาชิ (Bashi Channel) ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการปิดล้อมเกาะที่ประกาศปกครองตนเองแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงเท่านั้น การมีเรือบรรทุกเครื่องบินในทะเล 2 ลำยังอาจช่วยให้แดนมังกรสามารถมีเรือทดแทนได้ทันทีหากสูญเสียเรือลำใดลำหนึ่งในการสู้รบ ตลอดจนยังเป็นการเปิดทางให้จีนสามารถสำแดงแสนยานุภาพในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียได้พร้อมกันอีกด้วย
กระนั้นก็ตาม ถึงแม้โครงการเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนมีพัฒนาการที่น่าประทับใจเช่นนี้ แต่แดนมังกรก็ยังจำเป็นต้องมีกำลังพลสำหรับการบังคับควบคุมเรือเหล่านี้ และเพื่อรับมือกับปัญหาซึ่งถูกมองกันว่าเป็นการขาดแคลนนักบินที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน จีนจึงได้ลด [5] ระยะเวลาโครงการฝึกอบรมนักบินลงมา 1 ปี ขณะเดียวกัน ก็ลดมาตรฐานการมองเห็น [6] ของนักบินลงมา เพื่อรองรับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดเลสิก (LASIK surgery) รวมทั้งยังปรับจุดเน้นของการรับสมัครเสียใหม่ให้ครอบคลุมผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
อย่างไรก็ตาม กองทัพจีนยังคงต้องแข่งขันกับพวกนายจ้างทางฝ่ายพลเรือนในเรื่องของความเจริญเติบโตในหน้าที่การงานและเงินเดือนค่าตอบแทน โดยที่ความยากลำบากของชีวิตทหารเป็นปัจจัยลบที่แรงกล้า ทว่ากระทั่งเมื่อนำเอาปัญหาด้านการสรรหาบุคลากรซึ่งอาจเกิดขึ้น มาคิดคำนึงด้วย เรือฝู่เจี้ยนก็ยังคงถือเป็นประจักษ์พยานแห่งการยกระดับขีดความสามารถอย่างสำคัญของจีน ในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดหมายที่อาจเกิดขึ้นมาในช่องแคบไต้หวันและในทะเลจีนใต้
ในช่องแคบไต้หวัน ฝู่เจี้ยนสามารถมีส่วนสนับสนุนความได้เปรียบทางอากาศระดับภูมิภาคซึ่งจีนมีเหนือไต้หวัน ขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นศูนย์กลางของหมู่เรือบรรทุกเครื่องบิน หรือในการทำหน้าที่ป้องกันภัยทางอากาศให้กับกลุ่มปฏิบัติการของเรือผิวน้ำกลุ่มต่างๆ ของจีน โดยในการปฏิบัติหน้าที่อย่างหลังนี้ เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้สามารถดำเนินการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการ “เด็ดหัวคณะผู้นำ” (leadership decapitation operation) ที่อาจเกิดขึ้น
การใช้งานในทั้งสองรูปแบบนี้ สามารถดำเนินการโดยอาศัยการคุ้มกันจากการระดมยิงพวกขีปนาวุธพิสัยไกล อย่างเช่น ขีปนาวุธต่อสู้เรือทั้ง DF-21 และ DF-26 เพื่อป้องปรามยับยั้งการเข้ามาแทรกแซงของสหรัฐฯ และพวกพันธมิตร
ส่วนในทะเลจีนใต้ ฝู่เจี้ยนและพวกเรือที่จะเข้ามาสืบทอดรับช่วงต่อๆ ไปหลังจากนี้ ตลอดจนกระทั่งบรรดาเรือบรรทุกเครื่องบินจีนรุ่นเก่ากว่า ฝูเจี้ยน ล้วนถือว่ามีศักยภาพซึ่งพวกรัฐที่เป็นคู่แข่งอ้างสิทธิ์เหนือน่านน้ำทับซ้อนกับแดนมังกร ไม่สามารถต่อกรด้วยได้
กองทัพเรือของชาติต่างๆ ในภูมิภาคแถบนี้ อย่างเช่น เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างมีขนาดเล็ก ขาดงบประมาณ และอ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพเรือจีน แล้วยิ่งมีเรือฝู่เจี้ยนเพิ่มเข้ามา ก็ยิ่งทำให้ความเป็นผู้นำอย่างโดดเด่นอยู่แล้วของจีนยิ่งทวีความแข็งแกร่ง
จีนยังอาจใช้ฝู่เจี้ยนในรูปแบบของ “การทูตเรือปืน” (gunboat diplomacy) เพื่อข่มขู่และกดดันให้พวกรัฐคู่แข่งยุติการอ้างสิทธิ์ในน่านน้ำที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่
อย่างไรก็ตาม การนำเอา ฝู่เจี้ยน เข้ามา มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้แบบอสมมาตร (asymmetric responses) จากไต้หวันและเหล่ารัฐที่เป็นคู่แข่งอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ การตอบโต้ดังกล่าวอาจรวมถึงการที่ไต้หวันดำเนินโครงการต่อเรือดำน้ำขึ้นมาด้วยตนเอง โดยที่อาจได้รับแรงบันดาลใจ [7] จากการซ้อมรบทางเรือของสหรัฐฯ ในปี 2005 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรือดำน้ำชนิดใช้เครื่องยนต์ธรรมดาทั่วไปก็สามารถคุกคามเรือบรรทุกเครื่องบินได้
นอกจากไต้หวันแล้ว ทางด้านฟิลิปปินส์ก็กำลังขยายเครือข่ายพันธมิตรด้านการป้องกันของตนให้กว้างขวางออกไปนอกเหนือจากเพียงแค่สหรัฐฯเท่านั้น โดได้ยลงนามในข้อตกลงกองกำลังผู้มาเยือน (Visiting Forces Agreements หรือ VFA) กับหลายประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และนิวซีแลนด์ ด้วยเป้าหมายที่ดูจะเป็นเป็นไปได้ว่า คือการมุ่งรักษาจังหวะของการซ้อมรบทางนาวีระหว่างประเทศในน่านน้ำที่เป็นข้อพิพาทกับจีนให้สูงเอาไว้ เพื่อเป็นตัวคอยยับยั้งป้องปรามแดนมังกร
นอกเหนือจากช่องแคบไต้หวันและทะเลจีนใต้ ฝู่เจี้ยนและเรือรบจีนที่จะสืบทอดรับช่วงต่อๆ ไป ยังอาจสร้างผลกระทบต่อแนวห่วงโซ่เกาะแนวที่ 2 ซึ่งครอบคลุมหมู่เกาะโบนิน (Bonin Islands), กวม (Guam), และปาปัวนิวกินี ตลอดจนกระทั่งไปถึงมหาสมุทรอินเดีย ทั้งนี้ จากการที่ ฝู่เจี้ยน มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเรือบรรทุกเครื่องบินลำก่อนๆ ของแดนมังกร จึงอาจหมายถึงความทรหดทนทาน หรือก็คือมีความอึด เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งสำหรับการแผ่ขยายอำนาจไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่ห่างไกลออกไปเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม สภาพทางภูมิศาสตร์อาจจะไม่ได้ เข้าข้างจีน เมื่อมาถึงเรื่องของการสำแดงกำลังแสนยานุภาพ เนื่องจากการที่กองเรือรบแดนมังกรจะเข้าถึงน่านน้ำเปิดของมหาสมุทรแปซิฟิก ตลอดจนเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียได้นั้น จะต้องแล่นผ่านจุดคอขวดทางทะเลหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นช่องแคบมิยาโกะ และช่องแคบบาชิ ซึ่งอยู่ในแนวห่วงโซ่เกาะแนวที่ 1 ในการเข้าสู่น่านน้ำเปิดกว้าของแปซิฟิก ตลอดจนจะต้องผ่าน ช่องแคบมะละกา (Malacca Strait), ช่องแคบลอมบอก (Lombok Strait) และช่องแคบซุนดา (Sunda Strait) จึงจะเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียได้
ฝู่เจี้ยนจะผ่านจุดคอขวดเหล่านี้ได้ด้วยวิธีไหน ย่อมขึ้นอยู่กับว่าจีนจะรับมือกับความท้าทาย ซึ่งสหรัฐฯ และพวกพันธมิตร ตลอดจนอินเดีย สร้างขึ้นมาอย่างไร ขณะที่สหรัฐฯ ได้เสริมกำลังอย่างเข้มแข็งให้กับแนวห่วงโซ่เกาะแนวที่ 1 ทั้งด้วยการประจำการ [8] พวกเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์และขีปนาวุธพิสัยไกล เพื่อป้องกันไม่ให้จีนรุกฝ่าเข้าสู่น่านน้ำเปิดโล่งของมหาสมุทรแปซิฟิก ทางด้านอินเดียก็มีข้อได้เปรียบของการเป็นเจ้าถิ่นในมหาสมุทรอินเดีย ทั้งในแง่ของความเหนือกว่าอย่างมโหฬารในเรื่องจำนวน, การเข้าถึงฐานทัพต่างๆ ได้อย่างสะดวกพรักพร้อมอยู่แล้ว, ตลอดจนเรื่องเส้นทางการส่งกำลังบำรุงที่สั้นกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ฝู่เจี้ยนเป็นเรือที่ใช้เครื่องยนต์ธรรมดาทั่วไป ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องความอึดความทรหดยาวนานในการปฏิบัติการ ประกอบกับการที่จีนไม่มีฐานทัพในต่างประเทศสำหรับทำหน้าที่ส่งกำลังบำรุงเพิ่มเติม นอกจากฐานทัพขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในจิบูตี เหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นว่า ในการปฏิบัติการจริงๆ จีนจำเป็นต้องมีเรือบรรทุกน้ำมันและเรือส่งกำลังบำรุงเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่สำคัญขั้นเป็นตายทีเดียว ในสถานการณ์ที่เกิดการสู้รบขัดแย้งขึ้นมา
การเปิดตัวฝู่เจี้ยน จึงเป็นทั้งย่างก้าวที่สำคัญ และก็เป็นทั้งภาพสะท้อนซึ่งเผยให้เห็นว่ากองทัพเรือจีนได้ก้าวหน้ามาไกลขนาดไหน และยังต้องพัฒนาไปอีกไกลเพียงใด เพื่อให้เป็นคู่แข่งกับแสนยานุภาพทางนาวีของสหรัฐฯ
กล่าวโดยสรุป เรือบรรทุกเครื่องบินฝู่เจี้ยน เป็นสัญญาณแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกก้าวหนึ่งในเรื่องศักยภาพเพื่อการสำแดงกำลังทางนาวีของแดนมังกร ทว่ามันจะก่อให้เกิดผลกระทบมากน้อยแค่ไหนและยืนยาวเพียงใด จะขึ้นอยู่กับความชำนิชำนาญของพวกลูกเรือ, การส่งกำลังบำรุง, และวิธีการที่จีนจัดการกับปัญหาข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์
ในระยะอันใกล้นี้ คุณค่าของเรือฝู่เจี้ยน จะอยู่ในลักษณะของการสำแดงอำนาจบีบบังคับ กล่าวคือ การเพิ่มกำลังคุ้มกันทางอากาศให้แก่การปิดล้อม หรือการปฏิบัติการ “บ่งบอกให้รู้ว่าประจำการอยู่ตรงนี้” ในอาณาบริเวณตั้งแต่ช่องแคบไต้หวันไปจนถึงทะเลจีนใต้ ขณะเดียวกันก็เชื้อเชิญให้ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และพันธมิตรอื่นๆ ของสหรัฐฯ ดำเนินการตอบโต้ด้วยวิธีการต่างๆ ในแบบอสมมาตร
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การขยายและเสริมสร้างกำลังทางนาวีที่ใหญ่โตแข็งแกร่งและอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเป็นไปได้ว่าอาจมีเรือรบใช้พลังงานนิวเคลียร์ รวมถึงการมีฐานทัพในต่างประเทศคอยหนุนช่วยอย่างพรักพร้อม ก็อาจทำให้จีนมีทางเลือกต่างๆ กว้างขวางขึ้นอีกมาก ทว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้น เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ ย่อมมีความหมายสำหรับการสร้างความรับรู้ความเข้าใจ มากกว่าผลลัพธ์ที่อาจได้มาจากการทำสงครามจริงๆ ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้พลวัตการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาคนี้รุนแรงยิ่งขึ้น หาใช่ทำให้การแข่งขันดังกล่าวนี้ยุติจบสิ้นลง
เชิงอรรถ
[1] https://edition.cnn.com/2025/11/07/china/china-fujian-aircraft-carrier-xi-jinping-intl-hnk
[2] https://apnews.com/article/china-fujian-aircraft-carrier-commission-4fef26ed44a48932fc31ad5b1ef0793a
[3] https://www.nytimes.com/2025/11/07/world/asia/china-aircraft-carrier-military-navy.html
[4] https://media.defense.gov/2024/Dec/18/2003615520/-1/-1/0/MILITARY-AND-SECURITY-DEVELOPMENTS-INVOLVING-THE-PEOPLES-REPUBLIC-OF-CHINA-2024.PDF
[5] https://www.scmp.com/news/china/military/article/3289376/china-cuts-fighter-pilot-training-1-year-track-full-overhaul-early-2030s
[6] https://www.globaltimes.cn/page/202410/1320854.shtml
[7] https://nationalinterest.org/blog/buzz/war-games-swedish-stealth-submarine-sank-us-aircraft-carrier-116216
[8] https://www.scmp.com/news/china/military/article/3307698/how-us-reinforcing-first-island-chain-deter-china


