xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มโรงไฟฟ้าโตแกร่ง กำไรสดใส ชี้ปี 69 ภาคอุตฯ-Data Center ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แนวโน้มการลงทุนในไทยช่วงที่เหลือในปี 2568 คาดว่ายังขยายตัว หลังจากมีความชัดเจนประเด็นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ที่ลดลงจากเดิม 36% มาอยู่ที่ 19% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นอัตราภาษีใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้นักลงทุนที่เคยชะลอการตัดสินใจหวนกลับมาลงทุนอีกครั้ง

ขณะที่การเมืองในประเทศไม่นิ่ง ก็เป็นอีกปัจจัยกดดันการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ แม้ว่าจะมีการจัดตั้ง ครม.อนุทิน 1 แต่ด้วยข้อจำกัดระยะเวลาการทำงานเพียง 4 เดือนก็ต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ นับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมากในการขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบภาษี หรือการวางยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ฯลฯ แต่จากรายชื่อรัฐมนตรีคนนอกที่ถูกดึงเข้ามาร่วมรัฐบาลชุดใหม่นี้ น่าจะเป็นแม่เหล็กที่มีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ยิ่งถ้ารัฐบาลลุยออกมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาปัญหาเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปากท้อง การเพิ่มสภาพคล่องให้ SME การลดค่าครองชีพให้ประชาชน การเจรจาการค้าต่างประเทศ รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรัฐในปี 2568 และปี 2569 ล้วนมีส่วนสร้างบรรยากาศเศรษฐกิจไทยดีขึ้น

เมื่อรวมกับปัจจัยบวกที่บีโอไอระบุตัวเลขโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 38% มาอยู่ที่ 1,880 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 1,058,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน 45,195 ล้านบาท และการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้นิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นด่านหน้าที่ได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการลงทุนเติบโตขึ้น ตามมาด้วยธุรกิจสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำก็เติบโตขึ้น

ยิ่งกระแสโลกมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ความต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น จึงเห็นการเร่งขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซฯ ยังมีความสำคัญเพื่อเป็น Based Load เหตุพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงและแบตเตอรี่ยังมีราคาสูงอยู่

ทั้งนี้ การไฟฟ้าฯ ได้เตรียมโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้าระบบเพิ่มมากขึ้น หลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ตั้งแต่ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนค่าเชื้อเพลิง เฟสแรกจำนวน 4,852.26 เมกะวัตต์ที่จะทยอยเข้าสู่ระบบ กอปรกับในปลายปี 2568 คาดว่าจะมีการเปิดบริการไฟฟ้าสีเขียวแบบเจาะจงแหล่งผลิตได้ หรือ UGT2 เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ 100% ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้า Data Center และกลุ่มลูกค้าผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้า UGT2

PEA ชี้ Data Center แห่ลงทุนใน EEC พุ่ง 90%

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ระบุว่าการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้า Data Center ส่วนใหญ่ราว 90% อยู่ในพื้นที่ EEC ที่เหลืออีก 10% อยู่ในสระบุรีและอยุธยา สาเหตุที่กลุ่ม Data Center เลือกลงทุนใน EEC เนื่องจากนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น มาตรการส่งเสริมบีโอไอ ความเสี่ยงต่ำต่อภัยธรรมชาติ มีไฟฟ้าและน้ำรองรับการดำเนินงานของกลุ่ม Data Center และเป็นทำเลที่เชื่อมกับ Submarine Cable Network ที่เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายสื่อสารทั่วโลก

ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานสะอาดกลุ่ม Data Center ในพื้นที่ PEA (ครอบคลุม 74 จังหวัด ยกเว้น กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ) จะอยู่ที่ 5,700 เมกะวัตต์ใน 3 ปี และจะเพิ่มเป็น 9,800 เมกะวัตต์ใน 5 ปี


GULF ชี้ครึ่งปีหลังมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 597 MW

จึงไม่น่าสงสัยว่ากลุ่มโรงไฟฟ้ามีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน และมีผลประกอบการเติบโตในปี 2568 อาทิ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ในครึ่งหลังปี 2568 บริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 597 เมกะวัตต์ (MW) ทั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 5 โครงการ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่ จำนวน 2 โครงการ ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2568

ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในสหรัฐฯ ขนาดกำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ ก็มีรายได้โตขึ้นจากค่า Capacity Payment (CP) ที่ปรับเพิ่มขึ้น จากเดิม 29 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์ต่อวัน เป็น 270 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2568 จนถึง พ.ค. 2569 ทำให้ GULF รับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจากโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้น และในช่วงกลางปี 2569 จนถึงเดือน พ.ค. 2570 ค่า CP จะสูงขึ้นเป็น 329 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์ต่อวัน จะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 1,000-1,200 ล้านบาทต่อปี ส่วนโครงการ Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมจากกลุ่ม Gulf Gunkul Corporation (GGC) เป็นช่วงไฮซีซันทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ GULF มองโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ โดยในไทยบริษัทสนใจลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียน เน้นการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับระบบแบตเตอรี่ รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังลม นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำอีกหลายโครงการ และยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐฯ เพิ่ม

ดังนั้น ในปี 2568 GULF มั่นใจบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่ามีรายได้รวมในปีนี้เติบโต 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตขึ้นอีก 40% จากปี 2567


GPSC อัดงบลงทุนโครงการ ERU-โซลาร์ฟาร์มในอินเดีย

ส่วนบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. แม้ว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังปริมาณขายไฟฟ้าให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรก และราคาก๊าซฯ ที่ปรับลดลง 3-4% แต่อัตราค่าไฟฟ้าคาดว่าจะลดลง 2% ในไตรมาส 3 ปีนี้ ส่งผลให้ผลดำเนินงานครึ่งปีหลังทรงตัวเมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2568

นอกจากนี้ บริษัทรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ได้แก่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) กำลังผลิต 1,300 เมกะวัตต์ GPSC ถือหุ้น 25%, โครงการห้วยเหาะ (Huay Ho) กำลังผลิต 152 MW บริษัทถือหุ้น 67% และ โครงการน้ำลิก 1( NL1PC) มีกำลังผลิต 65 MW บริษัทถือหุ้น 40% คาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 3/2568

รวมทั้งการดำเนินงานจากบริษัทร่วมต่างๆ คาดจะดีขึ้นโดยเฉพาะจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง (Offshore Wind Farm:CFXD) ที่เมืองชางฮัว ประเทศไต้หวัน กำลังผลิต 600MW และอวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท ลิมิเต็ท (AEPL) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในหลายรัฐของประเทศอินเดีย หลังผลิตเชิงพาณิชย์มากขึ้น อีกทั้งจะมีรายการพิเศษจากการขายสัดส่วนเงินลงทุนใน AEPL จำนวน 3.03% ในไตรมาส 3/2568 ทำให้ GPSC มีกำไรขยายตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารมั่นใจว่าผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังดีขึ้น คาดทั้งปี 2568 จะมีผลประกอบการเติบโตกว่าปีก่อน

GPSC ได้ตั้งงบลงทุนสำหรับปี 2568-72 ไว้ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในโครงการ ERU กำลังผลิต 250 MW เพื่อนไฟฟ้าให้โครงการพลังงานสะอาด (CFP) ของ บมจ.ไทยออยล์ และ GPSC มุ่งเน้นการขยายกำลังการผลิตโซลาร์ฟาร์มของ AEPL ในอินเดียจากระดับปัจจุบันที่ 5.3 กิกะวัตต์ (GW) เพิ่มเป็น 20 GW ภายในปี 2573 นอกจากนี้ GPSC มีโอกาสเข้าซื้อสินทรัพย์จากกลุ่ม ปตท.(PTT) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกำลังการผลิตราว 300-350 MW จากการปรับโครงสร้างสินทรัพย์ในกลุ่ม PTT ทำให้ GPSC มีโอกาสเข้าไปบริหารแทน คาดจะชัดเจนในปีนี้


ปี 69 ยุโรปเริ่มเก็บภาษี CBAM บีบอุตฯใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยข้อมูลว่าในปี 2569 ความต้องการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh เพิ่มขึ้น 2.8% และภาคเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh เพิ่มขึ้น 8%

สำหรับไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ผู้ประกอบการจำหน่ายมากที่สุดในปี 2569 ได้แก่ ไฟฟ้าชีวมวล และแสงอาทิตย์ ตามลำดับ มีสัดส่วนรวมกันเป็น 79% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาคเอกชน ทำให้โรงไฟฟ้าชีวมวล และพลังงานแสงอาทิตย์จะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง

สำหรับปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมทางด้านนโยบายภาครัฐ โดยจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมรวมเป็นจำนวน 354.3 เมกะวัตต์จากปริมาณขายตามสัญญา ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 1 แห่ง

สำหรับภาคเอกชน ปริมาณการขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป หรือ CBAM ซึ่งจะเริ่มมีการบังคับใช้จริงในปี 2569 เป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นจากองค์กรเอกชนในโครงการ RE100 ซึ่งรวมถึงธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็มีส่วนผลักดันให้การใช้พลังงานสะอาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง


กำลังโหลดความคิดเห็น