วันพุธ (5 พ.ย.) นี้ ศาลสูงสุดสหรัฐฯกำหนดเปิดรับฟังการโต้แย้งเกี่ยวกับความชอบธรรมของภาษีศุลกากรที่ทรัมป์บังคับใช้ทั่วโลก คาดกันว่าคำตัดสินวินิจฉัยในคดีนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนโยบายเศรษฐกิจและการต่างประเทศของอเมริกา ขณะที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯรีบออกมาปรามชาติอื่นๆ ให้ยินยอมทำใจอยู่กับมาตรการภาษีของทรัมป์ เพราะแม้ถูกตัดสินแพ้คดี แต่ยังมีเครื่องมืออีกมากมายที่จะทำให้นโยบายนี้ได้ไปต่อ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้หรือขู่ใช้ภาษีศุลกากร เป็นเครื่องมือบีบให้ประเทศอื่นๆ ทำตามที่ตนต้องการ ไม่เฉพาะเพื่อตอบสนองวาระทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในนโยบายการต่างประเทศ เช่น การใช้ภาษีนำเข้าขู่ให้หลายประเทศที่สู้รบกันให้ยอมทำข้อตกลงหยุดยิง, ขู่ให้หลายชาติใช้พยายามมากขึ้นในการหยุดยั้งการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนเข้าอเมริกา, ใช้กดดันทางการเมืองกับรัฐบาลบราซิล โทษฐานที่ดำเนินคดีกับอดีตผู้นำที่เป็นพันธมิตรกับตนเอง, และล่าสุดใช้เพื่อลงโทษแคนาดา ที่มีการออกโฆษณาต่อต้านมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
ในวันพุธนี้ (5) ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ กำหนดเปิดรับฟังการโต้แย้งว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์นี้เป็นการใช้อำนาจเกินเลยจาก รัฐบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศปี 1977 (IEEPA) ซึ่งเป็นกฎหมายสหรัฐฯฉบับที่เขายึดโยงอ้างอิงหรือไม่ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าเป็นเช่นนั้นจริง และมีการตัดสินให้จำกัดหรือกระทั่งริบเครื่องมือดังกล่าวเสียเลย ย่อมส่งผลโดยตรงอย่างรวดเร็วต่อนโยบายทางเศรษฐกิจและทางการต่างประเทศของอเมริกา
ทรัมป์นั้นทั้งแสดงความตื่นเต้นและกังวลมากขึ้นกับคำวินิจฉัยตัดสินของศาลในคดีที่เขาบอกว่า เป็นหนึ่งในคดีสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ก่อนหน้านี้เขายังเตือนว่า ประเทศชาติอาจต้องเผชิญ “หายนะ” ถ้าศาลสูงสุดไม่ล้มล้างคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ระบุว่า การบังคับใช้มาตรการภาษีของทรัมป์เป็นการใช้กฎหมาย IEEPA อย่างเกินขอบเขต
ทางด้านกระทรวงยุติธรรมพยายามปกป้องมาตรการภาษีของทรัมป์ ด้วยการเน้นย้ำว่า มาตรการลงโทษทางการค้าเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจประธานาธิบดีของทรัมป์ในด้านการระหว่างประเทศ ดังนั้นศาลไม่ควรตั้งข้อสงสัยในตัวทรัมป์
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นสหรัฐฯ 2 แห่ง และพวกผู้พิพากษาส่วนใหญ่ในองค์คณะผู้พิพากษาของศาลอุทธรณ์กลางแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ต่างวินิจฉัยตัดสินว่า ทรัมป์ไม่มีอำนาจภายใต้กฎหมาย IEEPA ในการกำหนดภาษีศุลกากร เนื่องจากอำนาจดังกล่าวเป็นของรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม ทางคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้บังคับใช้ภาษีศุลกากรของทรัมป์ต่อไปก่อน ระหว่างที่ศาลสูงสุดพิจารณาคดีนี้
ขณะที่วันตัดสินชี้ชะตาใกล้เข้ามา คุช เดไซ โฆษกผู้หนึ่งของทำเนียบขาว แถลงว่า คณะบริหารคาดว่า จะได้รับชัยชนะในคดีนี้
กระนั้น แคโรไลน์ เลวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนของทำเนียบขาว สำทับว่า ทีมงานด้านการค้าของทรัมป์ กำลังจัดทำแผนฉุกเฉินเผื่อไว้ในกรณีที่ศาลสูงสุดตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจในการประกาศมาตรการภาษีเหล่านี้
โดยเฉพาะ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวคาดหวังว่า ศาลสูงสุดจะเห็นชอบกับมาตรการภาษีศุลกากรที่อิงกับ IEEPA แต่สำทับว่า หากไม่เป็นเช่นนั้น คณะบริหารสามารถเปลี่ยนไปใช้อำนาจการกำหนดภาษีศุลกากรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ที่อนุญาตให้เรียกเก็บภาษีศุลกากร 15% นาน 150 วันเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า
เบสเซนต์เสริมว่า ทรัมป์ยังอาจใช้มาตรา 338 ของกฎหมายภาษีศุลกากรปี 1930 ที่อนุญาตให้เรียกเก็บภาษีสูงถึง 50% กับประเทศที่เลือกปฏิบัติกับธุรกิจอเมริกัน
ขุนคลังสหรัฐฯ ยังเตือนประเทศที่เจรจาข้อตกลงการค้ากับทรัมป์เพื่อขอลดภาษี ให้ยึดมั่นตามข้อตกลง
กระทบภูมิรัฐศาสตร์-กระเป๋าเงินผู้บริโภค
ภาษีศุลกากรสูงลิบของทรัมป์บ่อนเซาะความสัมพันธ์ของอเมริกากับทั้งมิตรและศัตรู บางประเทศตอบโต้ด้วยลัทธิกีดกันการค้าที่เข้มข้นขึ้นหรือพยายามกระชับสัมพันธ์กับจีนที่พยายามสร้างภาพว่า เป็นผู้สนับสนุนการค้าเสรี
ภาษีศุลกากรของทรัมป์ยังส่งผลต่อประชาชนทั่วไป โดยขณะนี้บริษัทบางแห่งได้ผลักภาระต้นทุนบางส่วนไปให้ผู้บริโภคด้วยการขึ้นราคา แต่บางแห่งยังรอดูว่า สุดท้ายแล้วภาษีศุลกากรจะไปสิ้นสุดตรงไหน
เอมิลี คิลครีส อดีตรองผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกลุ่มคลังสมองที่มีชื่อว่า ศูนย์เพื่อความมั่นคงใหม่ของอเมริกา มองว่า แม้ดูเหมือนทรัมป์ใช้ภาษีศุลกากรโจมตีเศรษฐกิจในวงกว้างเพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลต่างชาติยอมเปลี่ยนจุดยืน แทนที่จะใช้เพื่อจัดการพฤติกรรมทางการค้าซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของมาตรการนี้ แต่เหตุผลนี้อาจไม่เพียงพอ และมีโอกาสพอสมควรที่ศาลสูงสุดอาจตัดสินให้ทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากพิจารณาว่า IEEPA มอบอำนาจฉุกเฉินอย่างครอบคลุมและยืดหยุ่นให้แก่ประธานาธิบดี
นอกจากนั้นที่ผ่านมา ศาลสูงสุดยังลังเลที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจฝ่ายบริหารอย่างกว้างขวางของทรัมป์
แต่ถ้าศาลสูงสุดตัดสินให้จำกัดอำนาจทรัมป์ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า อาจทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ สงสัยว่า ควรพยายามเจรจาข้อตกลงการค้าที่ชะงักงันกับคณะบริหารของทรัมป์ต่อไปหรือไม่ นอกจากนั้นยังมีข้อเท็จจริงทางการเมืองที่ต้องพิจารณา เนื่องจากการเจรจาข้อตกลงใหม่อาจกระทบต่อนโยบายการต่างประเทศหรือเป้าหมายสำคัญทางเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วย
คิลครีสเชื่อว่า คณะบริหารจะพยายามใช้กฎหมายต่างๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรต่อไป แม้อาจหมายถึงกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนและใช้เวลานานขึ้นก็ตาม
(ที่มา: เอพี/รอยเตอร์/เอเอฟพี)
                    

