xs
xsm
sm
md
lg

รบ.สหรัฐฯขอศาลสูงสุดเร่งตัดสินคดีภาษีศุลกากร ทรัมป์ยอมรับถ้าถูกชี้ให้แพ้ ‘ดีลการค้า’ทำกับนานาปท.จะ‘โมฆะ’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยื่นขอในวันพุธ (3 ก.ย.) ให้ศาลสูงสุดสหรัฐฯเร่งรัดพิจารณาตัดสินชี้ขาด ขณะที่ตัวทรัมป์เองเตือนว่า อเมริกาอาจต้องยกเลิกข้อตกลงการค้าที่ทำกับหลายประเทศ และต้องสูญเสียมหาศาล ถ้าศาลสูงสุดยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ว่า นโยบายภาษีศุลากรที่คณะบริหารของเขาประกาศบังคับใช้กับประเทศต่างๆ นั้น ผิดกฎหมาย

ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวในทำเนียบขาวเมื่อวันพุธ (3) ว่า คณะบริหารจะยื่นขอให้ศาลสูงสุดเพิกถอนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ว่า มาตรการภาษีศุลกากรจำนวนมากที่เขาเซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารออกมาบังคับใช้นั้น ผิดกฎหมาย โดยที่เขาเชื่อว่าศาลสูงสุดจะเห็นด้วยกับคณะบริหาร

นับเป็นครั้งแรกที่ทรัมป์ออกมายอมรับว่า ข้อตกลงการค้าที่สหรับฯทำกับประเทศคู่ค้ารายสำคัญๆ ภายหลังมีการเจรจาเป็นรายประเทศ รวมทั้งมีเงื่อนไขเพิ่มเติมต่างๆ นอกเหนือจากเรื่องภาษีศุลกากรนั้น อาจเป็นโมฆะหากศาลสูงสุดยืนตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์

ผู้นำสหรัฐฯ เตือนว่า การยกเลิกภาษีศุลกากรจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวง ถึงแม้พวกผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า ผู้จ่ายภาษีดังกล่าวตัวจริงคือผู้ที่นำเข้าสินค้าสู่อเมริกา ไม่ใช่บริษัทในประเทศต้นทาง และนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อในอเมริกาพุ่งทะยาน

ในวันพุธเช่นกัน จอห์น ซาวเออร์ รองอธิบดีกรมอัยการสหรัฐฯ ยื่นคำร้องขอให้ศาลสูงสุดเร่งรัดพิจารณาคดีนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยขอให้ศาลพิจารณาว่า จะรับคำร้องของคณะบริหารที่ขอให้ยกเลิกคำตัดสินของศาลอุทธรณ์นี้มาพิจารณาหรือไม่ภายในวันพุธหน้า (10 ก.ย.) และอนุญาตให้มีการแถลงเพิ่มเติมด้วยวาจาต้นเดือนพฤศจิกายน

ซาวเออร์สำทับว่า ประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า ภาษีศุลกากรช่วยส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และการยกเลิกภาษีศุลกากรอาจทำให้อเมริกาถูกประเทศต่างๆ ตอบโต้ทางการค้าโดยที่ไม่มีมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และอเมริกาอาจกลับสู่หายนะทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ ได้ตัดสินเมื่อวันศุกร์ (29 ส.ค.) ที่ผ่านมาว่า การที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรเอากับแทบทุกประเทศคู่ค้า โดยการอ้างอิงกฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินของสหรัฐฯนั้น เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต

อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ยังคงอนุญาตให้บังคับเก็บภาษีศุลกากรนี้ต่อไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม เพื่อให้ทรัมป์มีโอกาสต่อสู้ในศาลสูงสุด

คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คราวนี้ เป็นการตัดสินคดีฟ้องร้อง 2 คดี คดีแรกโดยธุรกิจขนาดเล็ก 5 กลุ่มที่นำเข้าสินค้าต่างๆ ซึ่งรวมถึงผู้นำเข้าไวน์และสุราในนิวยอร์ก ห้างค้าปลีกอุปกรณ์ตกปลาเพื่อการกีฬาในเพนซิลเวเนีย ส่วนอีกคดียื่นฟ้องโดย 12 มลรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐที่ปกครองโดยพรรคเดโมแครต

ตามคำฟ้องนั้น รัฐธรรมนูญให้อำนาจรัฐสภาในการบังคับใช้ภาษีและภาษีศุลกากร ไม่ใช่ประธานาธิบดี และการมอบหมายอำนาจดังกล่าวต้องมีความชัดเจนและจำกัด

นอกจากศาลอุทธรณ์แล้ว เมื่อปลายเดือนพ.ค. ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบข้อพิพาททางศุลกากรและการค้า ก็ได้มีคำตัดสินซึ่งเป็นการคัดค้านนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์เช่นเดียวกัน

เช่นเดียวกับศาลชั้นต้นอีกแห่งในกรุงวอชิงตันที่วินิจฉัยว่า กฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศไม่ได้ให้อำนาจทรัมป์ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรประเทศต่างๆ ซึ่งคณะบริหารกำลังยื่นอุทธรณ์ นอกจากนั้นยังมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์อีกอย่างน้อย 8 คดีที่รวมถึงการยื่นฟ้องของรัฐแคลิฟอร์เนีย

ทั้งนี้นับจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสองเมื่อต้นปีนี้ ทรัมป์อ้างอำนาจตามกฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้จากพวกคู่ค้าเกือบทั้งหมด ด้วยภาษีพื้นฐาน 10% และจากเรียกเก็บอัตราภาษีระดับสูงกว่านั้นจากอีกหลายสิบประเทศที่รวมถึงญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป

นอกจากนั้น ผู้นำสหรัฐฯ ยังใช้อำนาจดังกล่าวรีดภาษีศุลกากรจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน โดยอ้างว่า ประเทศเหล่านั้นปล่อยให้มีการส่งยาเสพติดร้ายแรงเข้าสู่อเมริกา

สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุในคำร้องต่อศาลสูงสุดว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์บ่อนทำลายความสามารถของประธานาธิบดีในการดำเนินการทางการทูตในสถานการณ์จริง รวมถึงความสามารถในการปกป้องความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างร้ายแรง

เบสเซนต์เสริมว่า ผู้นำประเทศต่างๆ ตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจในการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของทรัมป์ และพากันล่าถอยหรือชะลอการเจรจา พร้อมสำทับว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวลิดรอนอำนาจการเจรจาของคณะบริหารอย่างชัดเจน

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยังเตือนว่า การชะลอคำตัดสินขั้นสุดท้ายออกไปจนถึงเดือนมิถุนายนปีหน้าจะส่งผลต่อภาษีศุลกากรที่อเมริกาเรียกเก็บมาแล้ว 750,000 ล้านดอลลาร์ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการยกเลิกภาษีศุลกากรจะส่งผลให้เกิดการชะงักงันอย่างรุนแรง

(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)
กำลังโหลดความคิดเห็น