รัฐมนตรีคลัง เจเน็ต เยลเลน ของสหรัฐฯ มองแง่ดีระหว่างพบปะหารือนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีนที่กรุงปักกิ่งในวันอาทิตย์ (7 เม.ย.) บอกว่าการที่สองฝ่ายสามารถเจรจากันในเรื่องยากๆ ทำให้มหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ผู้นำแดนมังกรตอบกลับปักกิ่ง-วอชิงตันต้องเคารพกันและกัน เป็นหุ้นส่วนไม่ใช่ศัตรู ด้านสื่อภาครัฐอย่างซินหัววิจารณ์ว่า รัฐมนตรีคลังหญิงอเมริกันกล่าวหาจีนมีกำลังผลิตล้นเกินในหลายภาคอุตสาหกรรม เป็นเพียงข้ออ้างในการใช้นโยบายกีดกันการค้าเพื่อปกป้องบริษัทสหรัฐฯ เท่านั้น
เยลเลน ซึ่งเดินทางมาเยือนจีนทริปนี้ระหว่างวันที่ 4-9 เม.ย. กล่าวในการหารือกับนายกฯจีนเมื่อวันอาทิตย์ (7) ว่า อเมริกากับจีนมีหน้าที่ในการจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างกันซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงแสดงความเป็นผู้นำในการรับมือความท้าทายระดับโลก
ขุนคลังสหรัฐฯ เสริมว่า ถึงแม้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ แต่ในรอบปีที่ผ่านมา สองประเทศได้ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีอยู่บนพื้นฐานที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยที่ไม่ได้เพิกเฉยต่อความคิดเห็นที่แตกต่างหรือหลีกเลี่ยงการเจรจาที่ยากลำบาก แต่พยายามทำความเข้าใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกันจะดีขึ้นได้ ถ้าสองฝ่ายสื่อสารกันอย่างเปิดกว้างและตรงไปตรงมา
ในการเยือนจีนทริปนี้ของเธอ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 9 เดือน เยลเลนได้เน้นย้ำเรื่องที่สหรัฐฯ อ้างว่าเป็นภัยคุกคามจากการที่จีนมีกำลังการผลิตล้นเกินในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แผงพลังงานแสงอาทิตย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อพลังงานสะอาดอื่นๆ โดยบอกว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่เพียงสร้างความกังวลให้อเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีกหลายประเทศ
ทั้งนี้ เยลเลนเยือนปักกิ่งครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว โดยเห็นกันว่าเป็นความพยายามฟื้นความสัมพันธ์ระดับปกติ หลังจากปีนเกลียวกันมานานจากประเด็นมากมายตั้งแต่ไต้หวัน จนถึงที่มาของโควิด-19 และข้อพิพาททางการค้า
ก่อนที่เยลเลนจะมาถึงจีน เมื่อวันอังคารที่แล้ว (2 เม.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้หารือกันทางโทรศัพท์นานเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการพูดคุยโดยตรงครั้งแรกนับจากการประชุมสุดยอดของผู้นำทั้งสองในซานฟรานซิสโกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยที่ทั้งสองฝ่ายแถลงว่าเรื่องสำคัญที่ไบเดนกับสีคุยกันคราวนี้ คือ เรื่องไต้หวัน และประเด็นปัญหาทางการค้า
นอกจากนั้น สัปดาห์ที่แล้วทางเจ้าหน้าที่ทหารของอเมริกาและจีนได้พบกันที่ฮาวายเพื่อหารือเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยในปฏิบัติการและการดำเนินการอย่างมืออาชีพ
ตัวเยลเลนเอง ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง ในวันเสาร์ (6) ที่เมืองกว่างโจว ซึ่งเป็นฐานการส่งออกทางใต้ของจีน โดยทั้งคู่ตกลงเริ่มจัดการหารือของสองประเทศเกี่ยวกับการเติบโตอย่างสมดุล โดยที่เยลเลนต้องการใช้การเจรจาเรื่องนี้เพื่อส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมซึ่งปักกิ่งจะให้การปกป้องพนักงานและธุรกิจของอเมริกาในจีน
นอกจากนั้น กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังประกาศว่า เจ้าหน้าที่อเมริกาและจีนยังจะเริ่มหารือภายใต้คณะทำงานเดิมเกี่ยวกับการร่วมมือจัดการการฟอกเงิน
ตามการคาดการณ์ของ อิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (อีไอยู) หน่วยงานวิจัยขงนิตยสารอีโคโนมิสต์ ระบุว่า กำลังการผลิตแบตเตอรี่ของจีนจะสูงกว่าดีมานด์ถึง 1 ใน 4 ภายในปี 2027 ขณะที่อุตสาหกรรมอีวียังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การสนับสนุนการใช้รถพลังงานแบตเตอรี่ของปักกิ่งช่วยให้ผู้ผลิตอีวีจีนอย่างบีวายดีและจีลี่ กวาดส่วนแบ่งจำนวนมากในตลาดท้องถิ่น ซึ่งเป็นตลาดรถใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งยังทำให้จีนกลายเป็นผู้ส่งออกรถใหญ่ที่สุดของโลก
ทว่า บริษัทที่ปรึกษา ออโตโมบิลิตี้ วิจารณ์ว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วหมายความว่า กำลังการผลิตอีวีของจีนอาจล้นเกินระหว่าง 5-10 ล้านคันต่อปี
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ กล่าวหาว่า จีนดูไม่มีมาตรการควบคุมการลงทุนในด้านการผลิตเหล่านี้ ไม่เพียงเท่านั้น จีนยังเพิ่มเดิมพันกับแนวคิดใหม่ของสีนั่นคือ “พลังการผลิตใหม่” ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยที่รวมถึงอีวี การท่องอวกาศเชิงพาณิชย์ และชีววิทยาศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่เวลานี้บริษัทอเมริกันหลายแห่งเป็นผู้นำอยู่
ขณะเดียวกัน สื่อจีนได้ตอบโต้เยลเลนในประเด็นกำลังผลิตล้นเกินของจีน เช่น เมื่อวันเสาร์สำนักข่าวซินหัววิจารณ์ว่า การพูดว่า ภาคพลังงานสะอาดจีนมีกำลังผลิตล้นเกินเป็นเพียงข้ออ้างในการใช้นโยบายกีดกันการค้าเพื่อปกป้องบริษัทอเมริกัน
ซินหัวสำทับว่า การกีดกันอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอีวีของจีนไม่ได้ช่วยให้อุตสาหกรรมอีวีอเมริกาเติบโต และคาดว่า ยังมีอุปสรรคอีกมากมายในการทลายกำแพงที่ขัดขวางการร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่าย
ทางด้านโกลบอลไทมส์ ก็ออกบทบรรณาธิการชี้ว่า อเมริกาดำเนินการแง่ลบหลายอย่างกับจีน ซึ่งหมายถึงการปิดกั้นทางการค้าและเทคโนโลยี ตลอดจนถึงการแซงก์ชันบริษัทจีนจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ไรอัน แฮสส์ นักวิชาการอาวุโสของสถาบันบรูคกิงส์ มองว่า การเยือนของเยลเลนเป็นการทดสอบความเป็นไปได้สำหรับความคืบหน้าในด้านความสัมพันธ์จีน-อเมริกา อีกทั้งยังสะท้อนว่า จีนตระหนักถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาการผลิตล้นเกิน และเตรียมพร้อมสำรวจความเป็นไปได้ในการต่อต้านการฟอกเงิน เพียงแต่ต้องรอดูกันต่อไปว่า ความพยายามเหล่านี้จะคืบหน้าอย่างแท้จริงหรือไม่
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)