นักวิเคราะห์ชี้แม้การผลักดันการพัฒนาชิปเอไอระดับท็อปเอนด์ของจีนมีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ดูยังไม่สามารถเทียบชั้นอินวิเดีย บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาได้ทันในทศวรรษนี้ ทว่าหากเวลาผ่านไปสัก 5-10 ปี ก็ไม่แน่แล้ว
ปักกิ่งเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมชิป เพื่อเอาชนะมาตรการของสหรัฐฯที่มุ่งจำกัดกีดกันการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ระดับก้าวหน้าสูงสุด ซึ่งใช้ในระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาถึงมือจีน โดยใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ เช่นบอกว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้จีนมีความได้เปรียบทางทหาร ทั้งนี้ยังไม่มีแนวโน้มใดๆ เลยว่าการโยงเรื่องการแข่งขันเชิงพาณิชย์ให้กลายให้เป็นประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์แบบนี้จะยุติลงในเร็ววัน
สตีเวน อู๋ อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์เอไอและผู้ก่อตั้งกองทุนคาร์เธจ แคปิตอล อินเวสต์เมนต์ ชี้ว่า จีนต้องการได้ชิปที่ไม่ถูกจำกัดโดยนโยบายของอเมริกาหรือชาติอื่นใด ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงหันมาเร่งรัดส่งเสริมให้มีการวิจัยพัฒนาและการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับก้าวหน้าขึ้นภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม อู๋ตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่สามารถการันตีได้ว่า พวกผู้ผลิตจีนจะสามารถผลิตชิปเอไอ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น แพ็คเกจจิ้งหน่วยความจำ เครือข่าย และซอฟต์แวร์ ซึ่งมีศักยภาพเทียบเท่าผลิตภัณฑ์ระดับดีที่สุดของอินวิเดียได้ภายในปี 2030 หรือหลังจากนั้น ทั้งนี้หากต้องการตามทันอินวิเดีย จีนต้องรีบพัฒนาทั้งชิปที่มีหน่วยความจำแบนด์วิธสูงและแพ็คเกจจิ้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่ยากและซับซ้อนที่สุดในการพัฒนาชิป
ความท้าทายอื่นๆ ยังรวมถึงการสร้างซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมเพื่อควบคุมพลังของชิป ตลอดจนการอัปเกรดพวกเครื่องจักรเครื่องมือสำหรับทำการผลิต เนื่องจากชิปเหล่านี้เป็นชิปมีขนาดเล็กมากและมีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
หนทางเดียวสู่ความสำเร็จ
จอร์จ เฉิน จากเอเชีย กรุ๊ป บอกว่า อุตสาหกรรมชิปลงความเห็นว่า จีนคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปีจึงจะตามทันอินวิเดีย
ตี้หลิน อู๋ นักยุทธศาสตร์การวิจัยของเปปเปอร์สโตน ขานรับและเสริมว่า อนาคตของจีนสดใสแต่ยังต้องใช้เวลา ซึ่งอาจเป็นปี 2030 เนื่องจากชิปจีนกับชิประดับแอดแวนซ์ของโลกอย่างของอินวีเดีย ยังมีความแตกต่างอย่างมากในแง่ประสิทธิภาพการทำงานของชิป ตลอดจนถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และความพร้อมด้านระบบนิเวศ
อู๋สำทับว่า แม้ในจีนมีความต้องการบริการทางด้านเอไอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และรัฐบาลก็ให้การสนับสนุนการพัฒนาชิปใหม่อย่างเต็มที่ ทว่า การดำเนินการนี้ยังต้องการเงินทุนมหาศาล
กระแสความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ในจีน ทำให้มีการลงทุนอย่างสะพัดสดใส
ราคาหุ้นอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีนที่ทุ่มเม็ดเงินนับพันล้านดอลลาร์ในเทคโนโลยีเอไอ พุ่งขึ้นกว่า 2 เท่านับจากเดือนมกราคม
ขณะเดียวกัน หัวเว่ย ผู้นำอุตสาหกรรมชิปของจีน เตรียมรายงานเพิ่มกำลังผลิตชิปแอสเซนด์ 910ซี ขึ้นตัวเท่าในปีหน้า
ข่าวคราวที่น่ายินดีเหล่านี้ยังดันราคาหุ้นบริษัทชิปขนาดเล็กลงมาอย่าง แคมบริคอน ที่บางครั้งถูกเรียกว่า “อินวิเดียจีน” พุ่งขึ้นเช่นเดียวกัน
อู๋จากเปปเปอร์สโตนคาดว่า แนวโน้มแง่บวกนี้จะคงอยู่ต่อไป ส่วนหนึ่งเนื่องจากได้แรงสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลจีน
แม้กระทั่งเสียวหมี่ที่ยอมรับว่า โครงการออกแบบชิปเมื่อปี 2014 ของตนประสบความล้มเหลวไม่เป็นท่า ยังหวนคืนสู่วงการเซมิคอนดักเตอร์อีกครั้ง
เหลย จิว์น ซีอีโอเสียวหมี่ กล่าวในปักกิ่งเมื่อเดือนที่แล้วว่า ชิปคือทางเดียวที่เสียวหมี่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งหมายถึงการผลิตชิปสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์
ดีที่สุดในจีน
จีนซึ่งเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์สำหรับผู้บริโภคใหญ่ที่สุดของโลก ยังคงถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญสำหรับอินวิเดีย
กระนั้น พวกบริษัทเอไอจีนก็ต้องมองหาทางเลือกที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศกันมากขึ้น
เฉิน เฉิง ผู้จัดการทั่วไปด้านซอฟแวร์การแปลโดยใช้เอไอของบริษัทเทคโนโลยี ไอฟลายเทค ชี้ว่า ชิปอินวิเดียยังคงเป็นชิปที่ดีที่สุดในการเทรนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ แต่เขาเสริมว่า บริษัทของเขาพยายามแก้ปัญหาจากมาตรการจำกัดการส่งออกของอเมริกา ด้วยการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่ผลิตในจีน โดยขณะนี้โมเดลภาษาของบริษัทเทรนบนชิปหัวเว่ย ซึ่งถือว่าดีที่สุดในจีนเวลานี้
ในอีกด้านหนึ่ง อินวิเดีย ที่มีฐานะเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกในแง่มูลค่าตลาด เวลานี้ตกอยู่ในสภาพถูกกดดันจากทั้งอเมริกาและจีน
เดือนที่ผ่านมา ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า ปักกิ่งห้ามบริษัทจีนซื้อโปรเซสเซอร์ล้ำสมัยของอินวิเดียเวอร์ชั่นที่ผลิตออกมาสำหรับขายในจีนโดยเฉพาะ โดยให้เหตุผลว่าอาจจะมีปัญหาความมั่นคง
นอกจากนั้นแล้ว อินวีเดียยังต้องทำความตกลงกับคณะบริหารทรัมป์ โดยต้องหักรายได้จากยอดขายชิปบางรุ่นในจีนให้รัฐบาลอเมริกาในอัตรา 15%
เจนเซน หวง ซีอีโออินวิเดีย เตือนว่า มาตรการจำกัดการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัยที่สุดของอินวีเดียไปจีน มีแต่จะยิ่งส่งเสริมให้จีนเจริญรุดหน้า และทิ้งท้ายว่า ตอนนี้จีนเป็นรองอเมริกาแค่นาโนวินาทีเท่านั้น
(ที่มา: เอเอฟพี)