ความพยายามในการยุติการชัตดาวน์ประสบความล้มเหลวอีกครั้งในวันพุธ (1 ต.ค.) หลังพรรคเดโมแครตและทำเนียบขาวยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่ มิหนำซ้ำทรัมป์ยังเดินหน้าสั่งระงับการอัดฉีดงบประมาณรวม 26,000 ล้านดอลลาร์ให้พวกรัฐที่อยู่ภายใต้การบริหารของเดโมแครต ขณะเดียวกันรองประธานาธิบดีแวนซ์ ขู่สำทับว่าคณะบริหารทรัมป์กำลังจะเริ่มต้นปลดลูกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางอย่างถาวรครั้งใหญ่
งบประมาณสำหรับการใช้จ่ายของพวกหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สิ้นสุดลงหลังเที่ยงคืนวันอังคาร (30 ก.ย.) ภายหลังพวกวุฒิสมาชิกเดโมแครตที่ต้องการให้ขยายโครงการสุขอนามัยสำหรับครอบครัวผู้มีรายได้ต่ำ ไม่ลงคะแนนช่วยรับรองร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้นที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งจะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลเปิดให้บริการได้ตามปกติจนถึงวันที่ 21 พ.ย.
วุฒิสภาสหรัฐฯกลับมาประชุมกันอีกครั้งในวันพุธ ทว่า ส.ว.ของเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงตกลงกันไม่ได้เช่นเดิม โดยที่นัดหมายการประชุมครั้งต่อไปคือวันศุกร์ (3) จึงเป็นการดับความหวังที่ว่าการ “ชัตดาวน์” ซึ่งหมายถึงการที่หน่วยงานรัฐบาลกลางอย่างน้อยก็บางแห่ง ที่อยู่ในสภาพไม่มีงบประมาณใช้จ่ายแล้ว จึงต้องปิดทำการนั้น จะสามารถยุติลงได้โดยเร็ว
ทางด้านรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ แถลงจากทำเนียบขาวในวันพุธ (1) กล่าวโจมตีเดโมแครตว่า ตั้งเงื่อนไขในการสนับสนุนร่างงบประมาณชั่วคราวโดยแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เขากล่าวหาว่า คือการนำเอางบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์มาใช้สำหรับการรักษาพยาบาลพวกลักลอบอพยพเข้าสหรัฐฯ
แวนซ์ยังขู่ว่า คณะบริหารทรัมป์ อาจปลดลูกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางอย่างเป็นการถาวรเพิ่มเติมไปเสียเลย จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะปลด 300,000 คนภายในปีนี้ ถ้าหากการชัตดาวน์ยืดเยื้อเกิน 2-3 วัน
เห็นกันว่า วิกฤตคราวนี้มีความน่าวิตกยิ่งกว่าการชัตดาวน์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เนื่องจากทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน กับทางพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ต่างแสดงท่าทียึดมั่นจุดยืนของฝ่ายตนอย่างเหนียวแน่น โดยแทบจะไม่ยอมเปิดการหารือเพื่อหาทางรอมชอมกันด้วยซ้ำ ไม่เพียงเท่านั้น คณะผู้บริหารทรัมป์ยังตั้งท่าเพิ่มเดิมพันของการต่อสู้ครั้งนี้ให้สูงขึ้นอีก ด้วยการที่ทรัมป์ตอบโต้ทันควันโดยลงนามคำสั่งต่างๆ ที่รวมถึงการปิดหน่วยงาน และขู่เปลี่ยนสภาพจากการพักงานลูกจ้างพนักงานชั่วคราวในช่วงชัตดาวน์ มาเป็นการปลดพวกเขาอย่างถาวรเสียเลย
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ทำตามที่ข่มขู่คุกคามไว้ว่า จะใช้การชัตดาวน์ลงโทษพวกศัตรูทางการเมือง ซึ่งหลักๆ แล้วคือพรรคเดโมแครต และเพิ่มอำนาจของคณะบริหารในการควบคุมงบประมาณรัฐบาลกลางส่วนที่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯระบุให้เป็นอำนาจจัดสรรของรัฐสภา ซึ่งในปัจจุบันส่วนนี้มีมูลค่าราว 7 ล้านล้านดอลลาร์
การชัตดาวน์ครั้งนี้ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 15 นับจากปี 1981 คาดว่า จะส่งผลให้ลูกจ้างพนักงานรัฐบาลกลาง 750,000 คนถูกพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง ขณะที่บุคลากรกลุ่มที่ถือว่ามีความสำคัญ เช่น ทหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานปกป้องชายแดน อาจถูกบังคับให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปก่อนแม้ยังไม่ได้รับเงินเดือน
ทั้งนี้ หลายหน่วยงานเริ่มออกมาให้รายละเอียดมาตรการพักงานลูกจ้างพนักงานในความดูแลของพวกตนแล้ว เป็นต้นว่า สมาคมควบคุมการจราจรทางอากาศแห่งชาติระบุเมื่อวันพุธว่า อาจต้องพักงานเจ้าหน้าที่กว่า 2,300 คน ขณะที่สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐฯ ระบุว่า อาจปลดลูกจ้าง 1% จากทั้งหมด 14,000 คน
แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงต่อผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธว่า คณะบริหารกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางเพื่อระบุว่า ส่วนงานใดที่สามารถปรับลดได้ และเธิเชื่อว่าการปลดลูกจ้างพนักงานรัฐบาลอย่างถาวรเป็นจำนวนมาก กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
กระทรวงพลังงานประกาศในวันเดียวกันว่า มีแผนยกเลิกโครงการพลังงานสะอาดมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งโครงการทั้งหมดที่จะถูกยกเลิกอยู่ใน 16 รัฐที่พรรคเดโมแครตบริหาร อาทิ รัฐแคลิฟอร์เนีย อิลลินอยส์ และนิวยอร์ก
รัสเซลส์ วอต ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่เป็นคนของทรัมป์ ระบุว่า เงินอุดหนุนที่ถูกตัดคือเงินที่เคยนำไปใช้ส่งเสริมนโยบายโลกร้อนของพวกฝ่ายซ้าย
แกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ตอบโต้ว่า การที่คณะบริหารทรัมป์ยกเลิกเงินอุดหนุน 1,200 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการพลังงานไฮโดรเจนขนาดใหญ่ จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานหลายพันตำแหน่ง
ทางด้านกระทรวงคมนาคม ก็ได้ระงับการอุดหนุนงบประมาณเกือบ 18,000 ล้านให้โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 2 โครงการในนิวยอร์ก ซึ่งเคธี โฮชูล ผู้ว่าการรัฐ ประณามว่า เป็นการแก้แค้นทางการเมือง
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)