xs
xsm
sm
md
lg

ไม่กลัวหรอก! เครมลินระบุตะวันตก‘ทำอยู่แล้ว’ ตอบโต้ข่าวสหรัฐฯเตรียมส่งข่าวกรอง ให้ยูเครน ล็อกเป้าโจมตี‘โครงสร้างพื้นฐานพลังงาน’ในรัสเซีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน
สหรัฐฯกำลังจะส่งข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในรัสเซีย สำหรับให้ยูเครนใช้ในการดำเนินการโจมตีจากระยะไกล รวมทั้งยังกำลังพิจารณาว่าจะส่งมอบขีปนาวุธที่เคียฟอาจนำไปใช้ในปฏิบัติการโจมตีดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ตามรายงานของสื่อวอลล์สตรีทเจอร์นัลและรอยเตอร์ อย่างไรก็ดี ทำเนียบเครมลินแถลงสวนกลับในวันพฤหัสบดี (2 ต.ค.) ว่า ที่จริงวอชิงตันและพวกพันธมิตรนาโตกำลังจัดส่งข่าวกรองเหล่านี้ให้เคียฟเป็นประจำอยู่แล้ว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในวันพุธ (1) เรื่องวอชิงตันกำลังจะจัดส่งข่าวกรองชนิดนี้ให้ยูเครนโดยอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คนซึ่งยังระบุด้วยว่า สหรัฐฯ ยังขอให้พวกชาติพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ให้การสนับสนุนในลักษณะเดียวกัน ข่าวของรอยเตอร์นี้เป็นการยืนยันรายงานซึ่งถูกตีแผ่ครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล

รอยเตอร์ระบุว่าการตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการตีความว่าเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งแรกที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามอนุมัติ นับตั้งแต่เขาเริ่มแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อรัสเซียมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อพยายามยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีระหว่างมอสโกกับเคียฟ

วอชิงตันได้แบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับเคียฟมาเป็นเวลานานแล้ว แต่วอลล์สตรีทเจอร์นัลระบุว่าหลังจากนี้ยูเครนจะสามารถโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของรัสเซีย เช่น โรงกลั่นน้ำมัน ท่อส่งน้ำมัน และโรงไฟฟ้าต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการปิดกั้นแหล่งรายได้และน้ำมันของเครมลิน

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงกับพวกผู้สื่อข่าวในวันพฤหัสฯว่า อันที่จริงสหรัฐฯได้ส่งต่อพวกข้อมูลข่าวกรองทั้งหลายทั้งปวงไปให้แก่ยูเครนทางออนไลน์เป็นประจำอยู่แล้ว

“การส่งข่าวกรองให้เช่นนี้ รวมถึงการใช้พวกโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดของนาโตและของสหรัฐฯเพื่อรวบรวมและส่งต่อข่าวกรองให้แก่ฝ่ายยูเครนนั้น เป็นเรื่องที่เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว” โฆษกผู้นี้ระบุ

การออกข่าวเรื่องข่าวกรองคราวนี้ เกิดขึ้นในขณะเดียวกับที่มีรายงานว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาคำขอของยูเครนในการจัดหาขีปนาวุธร่อน “โทมาฮอว์ก” ซึ่งมีพิสัยการยิง 2,500 กิโลเมตร เพียงพอสำหรับการยิงโจมตีกรุงมอสโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียที่อยู่ในทวียุโรป

นอกจากนั้น ยูเครนยังอ้างว่าได้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลของตนเองที่มีชื่อว่า "ฟลามิงโก" ทว่ายังไม่เปิดเผยจำนวน โดยบอกว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการผลิต

รายงานข่าวของรอยเตอร์ชี้ว่า หลังจากเมื่อปีที่แล้วยูเครนได้รับและใช้พวกขีปนาวุธที่ยิงไปได้ค่อนข้างไกล อย่าง ระบบขีปนาวุธอะแทคคัมซ์ (ATACMS) ของสหรัฐฯ และ สตอร์ม แชโดว์ ของสหราชอาณาจักร ยิงเข้าไปในรัสเซีย ปูตินก็ได้สั่งให้ยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกรุ่นใหม่ เข้าไปที่ยูเครน ทั้งนี้ไฮเปอร์โซนิกหมายถึงความเร็วเหนือความเร็วเสียงตั้งแต่ 5 เท่าตัวขึ้นไป

เวลาเดียวกัน ปูตินยังแถลงในตอนนั้นว่า รัสเซียสงวนสิทธิที่จะโจมตีใส่พวกสถานที่ตั้งทางทหารในประเทศต่างๆ ซึ่งยินยอมให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธของพวกเขาในการโจมตีรัสเซีย เขากล่าวด้วยว่ามอสโกอาจนำเอาขีปนาวุธของตนเองออกมาติดตั้งประจำการในระยะทางซึ่งสามารถที่จะยิงใส่พวกประเทศตะวันตกได้ ถ้าหากรัสเซียถูกโจมตี

ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานข่าวว่า เมื่อวันพุธ (1) บรรดาผู้นำสหภาพยุโรป ซึ่งจัดการประชุมกันที่กรุงโคเปนเฮเกน ได้แสดงความสนับสนุนแผนยกระดับการป้องกันตนเองของพวกเขา ในการต่อสู้ภัยคุกคามจากอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ของรัสเซีย ด้วยการจัดสร้างสิ่งที่เรียกกันว่า "กำแพงโดรน"

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งก็คือองค์กรบริหารของอียู เรียกร้องให้จัดสร้างสิ่งที่เธอเรียกว่า "กำแพงโดรน" นั่นคือ เครือข่ายระบบเซ็นเซอร์และอาวุธในการตรวจจับ ติดตามและกำจัด อากาศยานไร้คนขับที่ล่วงล้ำเข้ามา เพื่อปกป้องปีกตะวันออกของยุโรป คำแนะนำของเธอมีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังโดรนรัสเซียราว 20 ลำ ล่วงล้ำเข้าสู่น่านฟ้าโปแลนด์ แม้พวกเจ้าหน้าที่บอกว่ามันอยู่ในการพิจารณาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว

มาร์ค รึตเตอ เลขาธิการนาโต กล่าวในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ยกย่องแนวคิดกำแพงโดรน ว่า "มาถูกเวลาและมีความจำเป็น" ขณะที่มีรายงานว่าพวกผู้นำยุโรปพากันส่งเสียงสนับสนุนความคิดนี้ ระหว่างประชุมกันในโคเปนเฮเกนในวันพุธ(1)

อย่างไรก็ตาม การประชุมผู้นำอียูคราวนี้ยุติลงโดยที่ไม่ได้มีมติใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยที่ โพลิติโค เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ชื่อดังในสหรัฐฯ ระบุว่า การประชุมคราวนี้กลายเป็น “เวทีน้ำลาย” โดยที่ใช้เวลาถกเถียงกันนานถึง 4 ชั่วโมง จากกำหนดการที่จัดไว้แค่ 2 ชั่วโมง แล้วก็ไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ

(ที่มา: รอยเตอร์/โพลิติโค)
กำลังโหลดความคิดเห็น