xs
xsm
sm
md
lg

จีน-รัสเซียทำข้อตกลงสายท่อส่งก๊าซ ‘เพาเวอร์ออฟไซบีเรีย 2’ คือการตอกฝาโลงยุทธศาสตร์ยูเรเชียของโดนัลด์ ทรัมป์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: แอนดรูว์ คูริบโค



(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/09/china-russia-pipeline-deal-seals-trumps-eurasia-strategy-collapse/)

China-Russia pipeline deal seals Trump’s Eurasia strategy collapse
by Andrew Korybko
07/09/2025

การที่ทรัมป์หยิบยกเรื่องยูเครนมาข่มขู่รัสเซีย และการที่เขามีบทบาทสำคัญมากในการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-สหรัฐฯเกิดความร้าวฉานหนัก เหล่านี้กลายเป็นตัวขับดันให้โครงการสร้างสายท่อส่งก๊าซ “เพาเวอร์ออฟไซบีเรีย 2” ที่ขะงักงันมานาน สามารถบรรลุถึงบทสรุปในที่สุด

แผนยุทธศาสตร์ใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน ในการหันเหรัสเซียให้ออกห่างจากความเป็นไปได้ที่จะพึ่งพาอาศัยจีนอย่างชนิดถลำลึก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ของแดนหมีขาวกลายเป็นเทอร์โบชาร์จเพิ่มพลังขับเคลื่อนการโคจรของประเทศที่ถือเป็นคู่แข่งระดับทั้งระบบอย่างแท้ทรูเพียงรายเดียวของอเมริกา

เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว สหรัฐฯจึงพิจารณาที่จะเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ชนิดที่ถือเรื่องทรัพยากรเป็นศูนย์กลางกับทางรัสเซีย ภายหลังจากการสู้รบขัดแย้งเรื่องยูเครนยุติลง ด้วยความคาดหวังว่าจากวัตถุประสงค์ที่สามารถร่วมกันได้เช่นนี้ มันจะกลายเป็นแรงจูงใจทำให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ยินยอมที่จะอ่อนข้อให้อย่างสำคัญในเรื่องดินแดน และ/หรือในด้านความมั่นคง

แต่การไร้ความสามารถของทรัมป์ หรืออาจจะเป็นความไม่ปรารถนาของตัวทรัมป์ก็ตามที ที่จะบีบบังคับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ต้องยินยอมโอนอ่อนให้แก่ความต้องการต่างๆ ของปูติน บวกกับการปรากฏรายงานที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าด้วยความเป็นไปได้ที่นาโต้อาจจะฉวยโอกาสจัดส่งกำลังทหารเข้าไปประจำการในยูเครน (ภายหลังมีการทำความตกลงระหว่างเคียฟกับมอสโก ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อทำหน้าที่เป็นกองกำลังรักษาสันติภาพ) จึงกลายเป็นเรื่องซึ่งทำให้ ปูติน ตกใจกลัวจนโยนทิ้งความพยายามของเขาในการวางตัวให้มีความสมดุลมากขึ้นระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน และหันมาเน้นหนักการเดินตามความเคลื่อนไหวของจีนอย่างจริงจังยิ่งขึ้น

การปิดฉากลงอย่างประสบความสำเร็จเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ของการทำข้อตกลงเรื่องโครงการสร้างสายท่อส่งก๊าซ “เพาเวอร์ออฟไซบีเรีย 2” (Power of Siberia 2) หลังจากที่เจรจาต่อรองกันมานานเป็นแรมปี โดยที่มันจะเป็นการส่งออกก๊าซรัสเซียไปให้จีนเพิ่มขึ้นอีกเกือบๆ เท่าตัว สู่ระดับซึ่งพูดกันเป็นตัวเลขคร่าวๆ คือ 100,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี แถมอยู่ในราคาถูกกว่าที่สหภาพยุโรปต้องจ่ายในการซื้อหาก๊าซจากแดนหมีขาวก่อนหน้านี้ มันจึงเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสำคัญของแผนการมหายุทธศาสตร์ยูเรเชียของโดนัลด์ ทรัมป์

ปูติน อาจมีความยินดีที่จะรอคอยเฝ้าดูสถานการณ์ไปก่อนให้ยาวนานกว่านี้ ถ้าหาก ทรัมป์ ไม่ได้ไปกระตุ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูจะเกิดจากความพลั้งเผลอเลินเล่อเสียมากกว่า จนทำให้เกิดการรอมชอมที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ระหว่างจีนกับอินเดีย ด้วยการที่เขาประกาศขึ้นภาษีศุลกากรชนิดมุ่งลงโทษและเป็นไปด้วยความเจ้าเล่ห์เอากับแดนภารตะ ด้วยความมุ่งหมายที่จะทำให้การก้าวผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่รายหนึ่งในโลกของนิวเดลีต้องเสียกระบวนไปเลย

นั่นทำให้อินเดียหวั่นผวา และให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นกับการซ่อมแซมและยกระดับสายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับจีน ซึ่งนี่ก็กลายเป็นการบรรเทาความอิหลักอิเหลื่อทางด้านความมั่นคงในระหว่างพวกเขา จากการที่มองเห็นกันอยู่ว่าวอชิงตันกำลังหาทางฉวยใช้ประโยชน์จากความระหองระแวงระหว่างปักกิ่งกับนิวเดลีและใช้แผนแบ่งแยกแล้วปกครองกับพวกเขา ในทางกลับบ้าน เรื่องนี้ได้ส่งผลในทางลดความวิตกกังวลของอินเดีย เกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านพลังงานอย่างใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นของรัสเซีย-จีน หลังจากก่อนหน้านี้ อินเดียหวั่นไหวมากว่ามันอาจจะนำไปสู่การที่รัสเซียหล่นลงสู่ฐานะการเป็นหุ้นส่วนระดับผู้น้อยของปักกิ่ง

ขณะที่ไม่เคยมีการระบุบอกกล่าวออกมาโดยชัดเจนอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับพวกผู้สังเกตการณ์ที่เฉียบแหลม ตลอดจนพวกที่ได้พูดจากับพวกนักยุทธศาสตร์ชาวอินเดียมา ต่างทราบกันดีว่า นิวเดลีมีความกังวลว่าจีนอาจอาศัยอิทธิพลบารมีที่มีเหนือรัสเซีย ในการโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้มอสโกลดทอนหรือกระทั่งหยุดยั้งการส่งออกอาวุธและสัมภาระทางทางทหารมาให้อินเดีย ซึ่งนั่นจะทำให้จีนมีความได้เปรียบขึ้นมาอย่างมากมายในการพิพาททางชายแดนระหว่างมังกรจีนกับช้างอินเดีย

การร้าวฉาวกันระหว่างอินเดีย-สหรัฐฯซึ่งเกิดขึ้นมาจากฝีมือของทรัมป์ และการบรรเทาเบาบางลงอย่างสังเกตเห็นได้ของความอิหลักอิเหลื่อทางด้านความมั่นคงระหว่างจีน-อินเดีย กลายเป็นการเปิดเสรีให้รัสเซียสามารถพิจารณาตัดสินใจทำข้อตกลง “เพาเวอร์ออฟไซบีเรีย 2” โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่ามันจะเป็นการสร้างหวั่นไหวให้แก่อินเดียจนกระทั่งยอมก้าวไปอยู่ในอ้อมแขนของสหรัฐฯ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ยูเรเซียก็จะยิ่ง ถูกแบ่งแยกแล้วปกครอง อย่างสาหัสมาก

การที่ระหว่างกลุ่มบริกส์ (BRICS) กับองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) มีจุดบรรจบกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ –โดยที่ทั้งคู่ต่างมีความมุ่งหมายที่จะค่อยๆ ปฏิรูปธรรมาภิบาลระดับโลก และเร่งรัดให้โลกแบบที่มีขั้วอำนาจหลายๆ ขั้วยิ่งปรากฏขึ้นมารวดเร็วยิ่งขึ้น โดยผ่านการใช้ความพยายามหนุนเสริมกันนั้น อินเดียมีบทบาทที่ไม่ใช่เล็กๆ เลย จากการยอมรับองค์การทั้ง 2 แห่งนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ครั้งใหม่จากสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เดินทางเยือนจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ก็เพื่อเข้าร่วมการปชุมซัมมิตของบรรดาผู้นำ SCO โดยที่ระหว่างเวลานั้นเขาก็จัดการประชุมหาริอทวิภาคีอันสำคัญกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยเป็นที่คาดหมายกันว่า มันจะเป็นการนำทางให้แก่ความผูกสัมพันธ์อย่างเป็นปกติครั้งใหม่ระหว่างจีน-อินเดีย

ถึงแม้สาเหตุรากเหง้าของความตึงเครียดระหว่างจีน-อินเดียยังคงไม่ได้รับการแก้ไขคลี่คลาย แต่มาถึงเวลานี้รัสเซียน่าจะคาดหมาย-ด้ว่ามันจะได้รับการบริหารจัดการอย่างดีขึ้นกว่าเดิม เรื่องนี้น่าจะมีส่วนร่วมหนุนเสริมให้ไปสู่จังหวะเวลาที่มอสโกบรรลุการทำความตกลงโครงการเพาเวอร์ออฟไซบีเรีย 2 กับจีน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสหรัฐฯจะไม่ช่วยเหลือรัสเซียเพื่อให้ได้รับสิ่งที่แดนหมีขาวต้องกานอะไรก็ตามทีจากยูเครน

ทรัมป์ดูเหมือนปรารถนาที่จะขยายยกระดับเรื่องที่สหรัฐฯเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องอยู่ในยูเครน โดยมีรายงานว่าเพื่อเป็นการตอบแทนดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ-อียู บวกกับความผูกพันระหว่างจีน-อินเดียที่กระเตื้องดีขึ้น เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียสหรัฐฯย่ำแย่ลง และเรื่องนี้ก็ทำให้ดีลเพาเวอร์ออฟไซบีเรีย 2 มีความเป็นไปได้ในทางการเมือง

ด้วยเหตุนี้ นโยบายการต่างประเทศในยูเรเชียของทรัมป์จึงล้มเหลวลง แบบแผนวิธีรับมือกับรัสเซียและอินเดียของทีมทรัมป์ กลายเป็นการวินิจฉัยที่ผิดพลาดเมื่อพยายามเรียกร้องจากทั้งคู่มากเกินไป จนกระทั่งเปิดทางให้ทั้งคู่สามารถทำงานเพื่อขจัดความแตกต่างต่างๆ ที่มีอยู่กับจีน ทั้งในระดับทวิภาคี และในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่พวกเขามีอยู่กับสหรัฐฯ

ในทางกลับกัน เรื่องนี้ก็กลายเป็นการเร่งรัดกระบวนการไปสู่โลกแบบที่มีหลายขั้วอำนาจ สืบเนื่องจากการมุ่งมั่นแต่จะเก็บกวาดเอาผลประโยชน์ไปเพียงผู้เดียวของสหรัฐฯ ดีลสายท่อส่งก๊าซที่เกิดขึ้นคราวนี้ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โตที่มีแต่จะทำให้สถานกาณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนับตั้งแต่บัดนี้ และจากนี้ไปก็จะต้องเฝ้าจับตามองกันว่าสหรัฐฯจะมีการตอบโต้อย่างไรต่อไป

แอนดรูว์ โคริบโค เป็นนักวิเคราะห์การเมืองชาวอเมริกันที่ตั้งฐานอยู่ในกรุงมอสโก เขามีความชำนาญพิเศษในเรื่องการเปลี่ยนผ่านของระบบโลก ซึ่งเข้าสู่ระบบที่มีหลายขั้วอำนาจ

ข้อเขียนชิ้นนี้ปรากฏทีแรกสุดบนแพลตฟอร์ม Substack ของ Andrew Korybko
กำลังโหลดความคิดเห็น