สี จิ้นผิง เร่งเร้าผู้นำกว่า 20 ชาติในที่ประชุมซัมมิตองค์การเอสซีโอ ใช้ประโยชน์จากการเป็นตลาดขนาดใหญ่และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี พร้อมเรียกร้องให้ร่วมกันต่อต้านแนวคิดแบบยุคสงครามเย็น การเผชิญหน้า และพฤติกรรมข่มเหงรังแก ของสหรัฐฯ ขณะที่ ปูติน ประกาศสนับสนุนเป้าหมายของประมุขแดนมังกรเต็มที่เพื่อสร้างระเบียบความมั่นคงและเศรษฐกิจโลกใหม่ที่ท้าทายอเมริกา ด้าน โมดี หารือชื่นมื่นกับผู้นำหมีขาว ตอกย้ำสัมพันธ์แนบแน่นอินเดีย-รัสเซีย
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวในพิธีเปิดประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (เอสซีโอ) ที่เมืองเทียนจิน ทางภาคเหนือของแดนมังกรเมื่อวันจันทร์ (1 ก.ย.) ว่า เอสซีโอกำลังกำหนดจัดวางรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกันใหม่ พร้อมเรียกร้องให้บรรดาผู้นำที่เข้าร่วมซัมมิตที่กินเวลา 2 วันคราวนี้ ส่งเสริมระบบโลกแบบมีหลายขั้วอำนาจ ซึ่งมีความเป็นระเบียบและเท่าเทียม รับรองโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ยอมรับความหลากหลาย รวมทั้งสนับสนุนระบบกำกับดูแลที่เป็นธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น
สี เสริมว่า เอสซีโอ ต้องใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่ของตนเองเพื่อปรับปรุงการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน พร้อมเรียกร้องให้ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์
ทางด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย กล่าวว่า เอสซีไอได้ฟื้นระบบพหุภาคีที่แท้จริงขึ้นมา มีการส่งเสริมให้ใช้สกุลเงินของแต่ละชาติในการชำระเงินมากขึ้น ซึ่งจะช่วยวางรากฐานทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมสำหรับการสร้างระบบใหม่ของมหาทวีปยูเรเซีย (ทวีปเอเชีย-ยุโรป) ที่มีเสถียรภาพและความมั่นคง
ผู้นำแดนหมีขาวเสริมว่า โลกต้องการระบบใหม่มาแทนที่ระบบที่มียุโรปเป็นศูนย์กลางและระบบของยูโร-แอตแลนติกที่ล้าสมัยแล้ว และเสริมว่า ระบบความมั่นคงใหม่จะอิงกับผลประโยชน์ของประเทศต่างๆ และไม่ยอมให้ชาติหนึ่งชาติใดส่งเสริมความมั่นคงของตนเองโดยสร้างความเดือดร้อนให้ประเทศอื่นๆ
นอกจาก สี และปูติน แล้ว นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย ตลอดจนถึงผู้นำอื่นๆ ก็ได้เข้าร่วมพิธีและกล่าวปราศรัยเปิดประชุมเอสซีโอคราวนี้ ซึ่งมุ่งสะท้อนถึงความสามัคคีของกลุ่มโลกใต้ (Global South)
ทั้งนี้ เอสซีโอ ที่เป็นองค์การความร่วมมือด้านความมั่นคงนี้ ตอนแรกเริ่มมีสมาชิกเพียง 6 ชาติจากภูมิภาคยูเรเชีย ซึ่งหมายถึงอาณาบริเวณที่ทวีปเอเชียติดต่อกับทวีปยุโรป แต่เวลานี้ได้ขยายตัวแป็นองค์การทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร ซึ่งมีชาติสมาชิกถาวร 10 ราย ประกอบด้วยชาติใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่ชาติตะวันตก อย่างเช่น จีน, รัสเซีย, อินเดีย, ปากีสถาน, อิหร่าน เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ยังได้เพิ่มประเทศผู้สังเกตการณ์ และ 14 ชาติคู่เจรจา อาทิ ตุรกี, อียิปต์, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กัมพูชา, พม่า
ในการกล่าวเปิดประชุม สียังเรียกร้องให้ “ต่อต้านแนวคิดสงครามเย็นและการเผชิญหน้า” และสนับสนุนระบบการค้าแบบพหุภาคี ซึ่งเห็นชัดว่ามุ่งเป็นการกระทบกระเทียบสงครามภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลต่อประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งที่รวมถึงอินเดีย ซึ่งถูกรีดภาษีศุลกากรอัตราสูงถึง 50%
ประมุขจีนระบุว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศขณะนี้วุ่นวายและเกี่ยวพันกันมากขึ้น พร้อมประณาม “พฤติกรรมข่มเหงรังแก” ของบางประเทศ ซึ่งเขาดูจะหมายถึงอเมริกา
สีเสริมว่า ปีนี้จีนจะให้ความช่วยเหลือแก่พวกชาติสมาชิกเอสซีไอจำนวน 2,000 ล้านหยวน (280 ล้านดอลลาร์) และเงินกู้ 10,000 ล้านดอลลาร์สำหรับกิจการการธนาคารของเอสซีโอ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในการประชุมข้างเคียงของเอสซีโอว่า ปักกิ่งกำลังรับบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบพหุภาคีของโลก
ปูตินย้ำเหตุผลที่ต้องบุกยูเครน
ในการประชุมซัมมิตะวันแรกนี้ ปูตินยังได้กล่าวปกป้องการตัดสินใจบุกยูเครนของตน โดยเกริ่นว่า รัสเซียชื่นชมความพยายามและข้อเสนอจากจีน อินเดีย และหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ ที่ต้องการส่งเสริมการแก้ไขวิกฤตยูเครน รวมทั้งยังแสดงความหวังว่า การประชุมกับทรัมป์ที่อะแลสกาเมื่อเดือนที่แล้วจะช่วยผลักดันเป้าหมายดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ประมุขวังเครมลินเสริมว่า ได้เล่ารายละเอียดการพูดคุยกับทรัมป์ให้สีรับรู้ระหว่างหารือกันเมื่อวันอาทิตย์ และจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในการประชุมระหว่างจีนกับรัสเซีย ก่อนสำทับว่า การแก้ไขวิกฤตยูเครนต้องใช้วิธีการระยะยาวและยั่งยืน ซึ่งต้องจัดการกับปัญหาที่แท้จริงที่นำไปสู่วิกฤต
เขายืนยันว่า วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นผลจากการบุกโจมตียูเครนของรัสเซียแต่มีต้นเหตุมาจากการรัฐประหารในยูเครนที่ถูกปลุกเร้าและได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ซึ่งเขาหมายถึงการลุกฮือเพื่อสนับสนุนให้ยูเครนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปในปีช่วง 2013-2014 ที่เขี่ยประธานาธิบดียูเครนที่สนับสนุนรัสเซียพ้นจากอำนาจ และรัสเซียตอบโต้ด้วยการเข้าผนวกคาบสมุทรไครเมีย รวมทั้งสนับสนุนกลุ่มโปรรัสเซียทางตะวันออกของยูเครน ซึ่งร้องเรียนว่าถูกพวกโปรยุโรปข่มเหงรังแก และได้ประกาศแบ่งแยกดินแดน จึงนำไปสู่ภาวะสงครามกลางเมือง
ปูตินบอกว่า อีกสาเหตุหนึ่งของวิกฤตยูเครน เนื่องมาจากการที่องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ขยายตัวมาทางตะวันออกไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นการคุกคามความมั่นคงของรัสเซีย และกระทั่งฝ่ายตะวันตกยังพยายามดึงยูเครนเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตอีกด้วย ซึ่งเป็นพาดพิงถึงการประชุมสุดยอดนาโตที่บูคาเรสต์ เมืองหลวงของโรมาเนีย ในปี 2008 ที่ผู้นำนาโตเห็นพ้องว่า ยูเครนและจอร์เจียจะเข้าเป็นสมาชิกในอนาคต และเคียฟแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางในการเข้าเป็นสมาชิกเต็มตัวในนาโตและสหภาพยุโรป (อียู)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุมซัมมิตคราวนี้เป็นไปด้วยความชื่นมื่นและสมานฉันท์ ในช่วงการเตรียมตัวถ่ายภาพหมู่ผู้นำของ 10 ชาติสมาชิกเอสซีโอ มีการบันทึภาพวิดีโอถ่ายทอดสดขณะที่ ปูติน กับ โมดี ซึ่งกำลังกุมมือกัน เดินด้วยท่าทางร่าเริงไปที่ สี จากนั้นผู้นำทั้ง 3 ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน และหัวเราะกัน โดยที่มีพวกล่ามแปลอยู่รายล้อม
หลังจากพิธีเปิดประชุมซัมมิตแล้ว โมดีกับปูตินได้ขึ้นไปนั่งในรถยนต์หุ้มเกราะ “ออรัส” ประจำตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย ในการเดินทางไปยังที่ประชุมทวิภาคีของพวกเขา โดยที่สื่อมวลชนภาครัฐของรัสเซียรายงานว่า ผู้นำทั้งสองพูดคุยกันอยู่เกือบ 1 ชั่วโมงแบบ “เห็นหน้ากันชัดๆ” ภายในรถ ก่อนการหารือทวิภาคีอย่างเป็นทางการของพวกเขา
ทั้งนี้ จีนและอินเดียต่างเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซีย โดยเฉพาะนิวเดลีนั้นเพิ่งถูกทรัมป์ลงโทษด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอีก 25% รวมของเดิมเป็น 50% กระนั้น ทั้งอินเดียและจีนไม่มีทีท่าหยุดสั่งซื้อน้ำมันรัสเซีย
โมดียังกล่าวว่า อินเดียและรัสเซียเคียงข้างกันแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด และการร่วมมืออย่างใกล้ชิดของสองประเทศไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับคนอินเดียและรัสเซียเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งของโลก
ผู้นำแดนภารตะสำทับว่า ได้หารือกับปูตินเรื่องความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่รวมถึงการค้า ปุ๋ย อวกาศ ความมั่นคง และวัฒนธรรม
ในส่วนความขัดแย้งในยูเครนนั้น โมดีบอกว่า อินเดียต้องการให้ทั้งสองฝ่ายยุติความขัดแย้งโดยเร็วที่สุดและพบกับสันติภาพที่ยั่งยืน
ด้านปูตินยกย่องโมดีเป็น “เพื่อนรัก” และขานรับว่า มอสโกและนิวเดลีมีความสัมพันธ์พิเศษที่อิงกับมิตรภาพและความไว้ใจกันมานานนับสิบปี ซึ่งเป็นรากฐานการพัฒนาความสัมพันธ์ในอนาคต
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี/เอพี)