ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ออกกฤษฎีกาเมื่อวันจันทร์ (29 ก.ย.) เรียกเกณฑ์ชายฉกรรจ์จำนวน 135,000 คนเข้ารับราชการทหาร ถือเป็นการปฏิบัติตามกิจวัตรปกติประจำปี ถึงแม้จำนวนที่เรียกเกณฑ์คราวนี้จัดว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016
รัสเซียเรียกเกณฑ์ชายฉกรรจ์อายุตั้งแต่ 18 ถึง 30 ปีเข้ารับราชการทหารปีละ 2 ครั้ง นั่นคือในช่วงฤดูใบไม้ผลิครั้งหนึ่ง และช่วงฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้งหนึ่ง
เป็นที่คาดหมายกันว่า ทหารเกณฑ์เหล่านี้จะเข้าเป็นทหารนาน 1 ปีตามค่ายต่างๆ ซึ่งอยู่ภายในรัสเซีย โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบในยูเครน ถึงแม้มีรายงานอ้างว่ามีการจัดส่งทหารเกณฑ์ไปยังแนวหน้าในยูเครนด้วย
การดำเนินการเกณฑ์ทหารประจำปีของรัสเซีย ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียกระดมพล ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชายชาวรัสเซียถูกเรียกตัวไปเข้าสู้รบในช่วงเกิดสงคราม ถึงแม้ทหารเกณฑ์ที่ผ่านการฝึกทหารอย่างสมบูรณ์แบบมาแล้ว ย่อมมีโอกาสสูงมากกว่าที่จะถูกเรียกระดมพลเพื่อเข้าสู้รบในอนาคตข้างหน้า
ในกฤษฎีลงวันที่วันจันทร์ (29 ก.ย.) ปูตินสั่งดำเนินการ “เกณฑ์พลเมืองของสหพันธรัฐรัสเซียจำนวน 135,000 คน เข้ารับราชการทหาร ในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2025”
ตัวเลขนี้ถือเป็นจำนวนการเกณฑ์ทหารช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สูงที่สุดหลังจากปี 2016 เป็นต้นมา และเมื่อรวมกับจำนวนการเกณฑ์ทหาร 160,000 คนในฤดูใบไม้ร่วง จึงหมายความว่าปี 2025 น่าจะเป็นปีที่มีการเรียกเกณฑ์ทหารสูงที่สุดภายหลังปีดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ที่เริ่มการโจมตีทางทหารอย่างเต็มขนาดกับยูเครนในดือนกุมภาพันธ์ 2022 ปูตินก็ได้นำพารัสเซียเข้าสู่การเพิ่มงบประมาณรายจ่ายทางทหารสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไม่ได้พบเห็นมาภายหลังยุคโซเวียต รวมทั้งกำลังขยายขนาดของกองทัพอีกด้วย
ตั้งแต่ปี 2022 ปูตินยังเพิ่มจำนวนทหารเกณฑ์ประจำปีเฉลี่ยแล้วราวๆ ปีละ 5%
ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีปูติน กล่าวเมื่อวันจันทร์ (29) เช่นกันว่า กองทัพรัสเซียกำลังเป็นฝ่ายมีชัยใน “การสู้รบอันถูกต้องชอบธรรม” ที่ยูเครน
“บรรดานักรบและผู้บังคับบัญชาทหารของเราเดินหน้าเข้าโจมตี และทั่วทั้งประเทศ รัสเซียทั้งหมด กำลังเข้าทำการสู้รบอันถูกต้องชอบธรรมนี้ และกำลังทำงานหนัก” ปูตินกล่าวในคลิปวิดีโอ ที่นำออกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของทำเนียบเครมลิน
“พวกเรากำลังร่วมกันพิทักษ์ปกป้องความรักของเราที่มีต่อมาตุภูมิ และความเป็นเอกภาพของชะตากรรมทางประวัติศาสตร์ของเรา เรากำลังสู้รบ และเรากำลังเป็นผู้ชนะ”
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)