นายใหญ่เพนตากอนสั่งเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนำวิถีเข้าประจำการในตะวันออกกลาง พร้อมเร่งหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีไปยังภูมิภาคดังกล่าว เพื่อปกป้องอิสราเอลจากการโจมตีของอิหร่านและพันธมิตรที่ต้องการชำระแค้นให้ผู้นำฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ที่ถูกลอบสังหารอย่างอุกอาจก่อนหน้านี้ ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งฮามาสเรียกร้องคณะเจรจาไกล่เกลี่ยบีบอิสราเอลให้ยอมรับและบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงที่ไบเดนเสนอเอาไว้แล้วโดยเร็ว แทนการเจรจาต่อหรือพิจารณาข้อเสนอใหม่ๆ
ในคำแถลงที่ออกมาภายหลังการหารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลเมื่อวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ระบุว่าได้สั่งให้หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส อับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งมีฝูงเครื่องบินขับไล่เอฟ-35 ประจำการอยู่ เร่งดินทางไปยังตะวันออกกลาง รวมทั้งสั่งเรือดำน้ำติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี ยูเอสเอส จอร์เจีย เข้าประจำการยังภูมิภาคดังกล่าวด้วย
สำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ว่า ตามโพสต์ทางโซเชียลมีเดียของกองทัพสหรัฐฯ เอง อันที่จริง เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ จอร์เจีย ลำนี้ เข้าไปอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว กระนั้นครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการประกาศเปิดเผยเรื่องการส่งเรือดำน้ำเข้าประจำการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เพนตากอนนานๆ ครั้งจึงจะกระทำ
พลตรีแพต ไรเดอร์ โฆษกเพนตากอนแถลงว่า ออสตินย้ำความมุ่งมั่นของอเมริกาในการดำเนินการทุกขั้นตอนที่เป็นไปได้เพื่อปกป้องอิสราเอล และออสตินกับกัลแลนต์ยังหารือกันเกี่ยวกับความสำคัญในการบรรเทาอันตรายต่อพลเรือน การผลักดันเพื่อบรรลุข้อตกลงหยุดยิงและการปล่อยตัวประกันอิสราเอล ตลอดจนถึงความพยายามยับยั้งปฏิบัติการของกลุ่มพันธมิตรของอิหร่าน
ทั้งนี้ เหตุการณ์ลอบสังหารอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 31 ก.ค. อย่างอุกอาจในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน และการสังหารฟูอัด ชุคร์ ผู้บัญชาการคนสำคัญกองกำลังอาวุธของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในกรุงเบรุตของเลบานอนในวันเดียวกัน ทำให้อิหร่านและเหล่าพันธมิตรออกมาประกาศล้างแค้นอิสราเอลรวมถึงสหรัฐฯ และตอกย้ำความกังวลว่า สงครามในกาซาจะแผ่ขยายไปทั่วตะวันออกกลาง
ขณะที่รอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันและพันธมิตรหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีด้วยโดรนในซีเรียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (9 ส.ค.) ซึ่งถือเป็นการโจมตีใหญ่ครั้งที่สองต่อกองกำลังสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่วันมานี้
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มฮามาสได้ออกคำแถลงเมื่อวันอาทิตย์เรียกร้องให้คณะเจรจาไกล่เกลี่ยนานาชาติ เสนอข้อตกลงหยุดยิงที่อิงกับข้อเสนอของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และบังคับให้อิสราเอลยอมรับและปฏิบัติตาม แทนที่จะจัดเจรจาต่อหรือหารือข้อเสนอใหม่ๆ
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ที่ถูกกล่าวหาว่า กำลังพยายามยื้อสงครามในกาซา เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ได้ตอบรับคำเชิญของอเมริกา กาตาร์ และอียิปต์ สำหรับการเจรจารอบต่อไปซึ่งจะจัดขึ้นในวันพฤหัสฯ (15 ส.ค.)
ทั้งนี้ ความพยายามไกล่เกลี่ยโดยอิงกับแผนการของไบเดนที่อเมริการะบุว่าอันที่จริงแล้วเป็นข้อเสนอจากอิสราเอลนั้น กลับไร้ความคืบหน้าใดๆ นับตั้งแต่มีการเสนอแผนการนี้เมื่อวันที่ 31 พ.ค.
ภายใต้แผนการดังกล่าว ข้อตกลงหยุดยิงจะประกอบด้วย 3 ช่วงสำคัญ โดยช่วงแรกครอบคลุมการหยุดยิงอย่างสมบูรณ์นาน 6 สัปดาห์ ซึ่งอิสราเอลต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ทั้งหมดที่มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก และมีการปล่อยตัวประกันอิสราเอลบางส่วนแลกกับนักโทษปาเลสไตน์
เฟสที่สองคือการปล่อยตัวประกันที่เหลือ และคู่สงครามเจรจายุติการเป็นปฏิปักษ์แบบถาวร ตามด้วยช่วงที่สามคือแผนการบูรณะฟื้นฟูขนาดใหญ่สำหรับกาซาและการส่งคืนร่างตัวประกันอิสราเอลที่เสียชีวิต
การเรียกร้องของฮามาสเกิดขึ้นขณะที่ชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคนหนีออกจากเขตอัล-จาลาอา ในเมืองข่านยูนิส ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา ซึ่งกองทัพยิวเคยประกาศให้เป็นเขตปลอดภัยด้านมนุษยธรรม หลังจากขณะนี้กองทัพอิสราเอลกลับออกคำสั่งอพยพเพื่อเปิดทางสำหรับปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ดังกล่าว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากหน่วยกู้ภัยของกลุ่มป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในกาซาเผยว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในโรงเรียนที่เป็นที่หลบภัยของชาวปาเลสไตน์ในเมืองอัล-ทาบีอินเมื่อวันเสาร์ (10 ส.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 93 คน
สงครามกองทัพอิสราเอลทำลายล้างกาซา ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. หลังจากกลุ่มนักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีในภาคใต้อิสราเอล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,198 คน และมีการจับตัวประกัน 251 คนกลับไปยังกาซา ซึ่งขณะนี้ยังถูกควบคุมตัวอยู่ 111 คน รวมถึง 39 คนที่กองทัพอิสราเอลเชื่อว่า เสียชีวิตแล้ว
นับจากนั้นอิสราเอลได้ตอบโต้ด้วยปฏิบัติการทางทหารอย่างรุนแรงในกาซา และทำให้มีผู้เสียชีวิตจนถึงขณะนี้อย่างน้อย 39,897 คน จำนวนมากเป็นผู้หญิงและเด็กๆ
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)