รอยเตอร์ - ศึกชิงทำเนียบขาวเดือด แฮร์ริสรับตัวเองเป็น “มวยรอง” พร้อมโจมตีทรัมป์ “ตัวประหลาด” ด้านอดีตรองประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันรัวกลับชุดใหญ่โดยเรียกคู่แข่งจากเดโมแครตผู้นี้ว่า “ปีศาจ” “ป่วย” และ “วิปลาส”
การดวลฝีปากของทั้งคู่เมื่อวันเสาร์ (27 ก.ค.) เป็นการส่งท้ายสัปดาห์แห่งความชุลมุนวุ่นวายที่ส่งให้รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส กลายเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากโจ ไบเดน ประธานาธิบดีวัย 81 ปี ถอนตัวภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากสมาชิกพรรค และโพลจากหลายสำนักบ่งชี้ว่า การเปิดตัวแฮร์ริสบ่อนเซาะคะแนนนิยมของทรัมป์ที่ขึ้นนำไบเดนในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้
ในงานระดมทุนส่วนตัวเมื่อวันเสาร์ที่เมืองพิตส์เบิร์ก รัฐแมสซาชูเสตส์ ที่มีเจมส์ เทย์เลอร์ นักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดังร่วมเป็นแขกในงาน แฮร์ริส กล่าวว่า ถ้อยคำต่างๆ จากทรัมป์ และวุฒิสมาชิก เจ.ดี. แวนซ์ คู่สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ล้วนแล้วเป็นแค่ “ถ้อยคำแปลกประหลาด”
การที่แฮร์ริสใช้คำว่า “แปลกประหลาด” กล่าวถึงคู่ต่อสู้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ใหม่จากเดโมแครต โดยทีมหาเสียงของแฮร์ริสโจมตีทรัมป์ว่า “แก่และแปลกประหลาดมาก” หลังจากที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันผู้นี้ปรากฏตัวในฟ็อกซ์ นิวส์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (25 ก.ค.) และมีผู้สนับสนุนอย่างน้อยหนึ่งคนชูป้ายที่มีข้อความว่า “ทรัมป์ตัวประหลาด” ที่หน้างานระดมทุนของแฮร์ริส
แฮร์ริส วัย 59 ปี ตอกย้ำความแตกต่างระหว่างตนเองกับทรัมป์อีกครั้ง ด้วยการเปรียบเทียบภูมิหลังของตนในบทบาทอัยการ กับทรัมป์ที่ถูกตัดสินว่าทำผิดคดีอาญาร้ายแรง รวมทั้งบอกว่า เดิมพันของเธอคืออนาคตของอเมริกา ส่วนทรัมป์ต้องการพาประเทศชาติกลับสู่ “อดีตอันมืดมิด”
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ทรัมป์ขึ้นเวทีปราศรัยในเมืองเซนต์คลาวด์ รัฐมินเนโซตา และกล่าวหาด้วยถ้อยคำเกินจริงว่า แฮร์ริสจะทำลายประเทศ พร้อมวิจารณ์นโยบายของรองประธานาธิบดีหญิงผู้นี้ตั้งแต่ความปลอดภัยสาธารณะจนถึงคนเข้าเมือง และสำทับว่า แฮร์ริส “แย่กว่าไบเดนอีก”
การปราศรัยของอดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังเต็มไปด้วยความคับข้องใจเรื่องเดิมๆ และข้อกล่าวอ้างผิดๆ เกี่ยวกับการโกงการเลือกตั้ง ฟ้องว่า การเรียกร้องความเป็นเอกภาพภายหลังรอดชีวิตจากการถูกลอบสังหารเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเป็นแค่จุดยืนชั่วคราวของทรัมป์
การหาเสียงของทรัมป์จัดขึ้นในสนามฮอกกี้น้ำแข็งที่มีที่นั่ง 8,000 ที่ ตามคำแนะนำของกรมกิจการลับ (ซีเคร็ต เซอร์วิส) ที่ขอให้หลีกเลี่ยงเวทีปราศรัยกลางแจ้งขนาดใหญ่ภายหลังความพยายามลอบสังหารระหว่างการหาเสียงที่เพนซิลเวเนีย
ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียลของตนเองว่า จะยังคงจัดการปราศรัยกลางแจ้งต่อไป โดยกรมกิจการลับตกลงจะยกระดับมาตรการอารักขาตน
ทั้งนี้ มินเนโซตาไม่ได้เลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันมายาวนาน 52 ปี ทว่า ทีมหาเสียงของทรัมป์มองว่า มีโอกาสมากขึ้นหลังคะแนนนิยมในตัวไบเดนทรุดดิ่งนับจากโชว์ผลงานการดีเบตยอดแย่เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.
อย่างไรก็ตาม การรับไม้ต่อของแฮร์ริสทำให้แคมเปญหาเสียงชิงทำเนียบขาวของเดโมแครตฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง หลังจากซวนเซท่ามกลางความสงสัยของสมาชิกพรรคเกี่ยวกับโอกาสที่ไบเดนจะเอาชนะทรัมป์ และความสามารถในการบริหารประเทศต่อไปอีก 4 ปีหากชนะเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน ทีมหาเสียงของแฮร์ริส ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีหญิงผิวดำและมีเชื้อสายเอเชียคนแรกของอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ระดมทุนได้กว่า 1.4 ล้านดอลลาร์จากผู้ร่วมงานระดมทุน 800 คน
นอกจากนั้น แชนนอน วัตส์ จากมัมส์ ดีมานด์ แอ็กชัน ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับอาวุธปืนที่มีสมาชิกราว 10 ล้านคน เปิดเผยกับเอ็มเอสเอ็นบีซีว่า ผู้ร่วมประชุมทางซูมกว่า 200,000 คนเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาที่เรียกร้องให้สร้างกลุ่มสนับสนุนแฮร์ริสในหมู่ผู้หญิงผิวขาวนั้น ระดมทุนได้กว่า 11 ล้านดอลลาร์
ทางด้านทรัมป์ได้ปราศรัยต่อที่ประชุมคริปโตในเมืองแนชวิลล์อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรีพับลิกันในการดึงดูดการสนับสนุนจากสาวกสกุลเงินดิจิทัลก่อนการเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย.
ทรัมป์ประกาศทำให้อเมริกาเป็นเมืองหลวงคริปโตของโลก ซึ่งแตกต่างสุดขั้วกับจุดยืนเมื่อปี 2021 ที่เขาวิจารณ์บิตคอยน์ว่าเป็น “การต้มตุ๋น”
เขายังเตือนว่า จีนและประเทศอื่นๆ อาจยอมรับคริปโต หากอเมริกาหันหลังให้ และให้สัญญาจะออกกฎระเบียบที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรมนี้หากชนะเลือกตั้ง
เมื่อวันศุกร์ (26 ก.ค.) ทรัมป์จุดประเด็นวิจารณ์ครั้งใหม่หลังจากปราศรัยกับกลุ่มชาวคริสเตียนอนุรักษนิยมว่า ถ้าโหวตให้ทรัมป์ “พวกคุณจะไม่ต้องกลับมาโหวตอีกใน 4 ปีข้างหน้า” โดยไม่ได้อธิบายต่อว่าหมายความว่าอย่างไร
ทางด้านเดโมแครตออกมาโจมตีทันทีว่า คำพูดดังกล่าวเป็นหลักฐานว่า ทรัมป์ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยหลังจากที่เขาพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 อันนำไปสู่การบุกโจมตีอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค.2021