ทำเนียบขาวแถลงในวันอังคาร (23 ก.ค.) คิมเบอร์ลี ชีเทิล อธิบดีของกรมกิจการลับ หรือซีเคร็ต เซอร์วิส ของสหรัฐฯ ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ถึงแม้หนึ่งวันก่อนหน้านี้ เธอเพิ่งยืนกรานจะอยู่ต่อไป แม้ยอมรับกรณีที่มีมือปืนเข้าไปซุ่มยิงทรัมป์ระหว่างหาเสียงเมื่อเร็วๆ นี้เป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี แถมปฏิเสธไม่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวโดยอ้างว่าอยู่ระหว่างการสอบสวน จนทำให้ ส.ส.ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตโกรธเกรี้ยว
เจมส์ โคเมอร์ ประธานคณะกรรมาธิการกำกับตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน และเจมี รัสกิน สมาชิกอาวุโสของพรรคเดโมแครตในคณะกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งปกติแล้วมีความเห็นขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในประเด็นส่วนใหญ่ มาครั้งนี้กลับร่วมกันเรียกร้องให้ ชีเทิล ลาออกจากกรมกิจการลับ ระหว่างที่เรียกเธอมาให้การนาน 4 ชั่วโมงครึ่งเมื่อวันจันทร์ (22 ) โดยระบุว่า เหตุการณ์ที่มือปืนพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ป้องกันได้ และคองเกรสไม่เชื่อมั่นว่า ชีเทิลจะสามารถเป็นผู้นำหน่วยงานแห่งนี้ต่อไปได้
ทางด้านซีเทิลยอมรับว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความล้มเหลวร้ายแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของกรมกิจการลับ ซึ่งเธอในฐานะผู้นำของหน่วยงานนี้ขอรับผิดชอบความผิดพลาดทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ชีเทิลปฏิเสธการเรียกร้องให้ลาออก โดยกล่าวว่า เธอคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำของหน่วยงานทำหน้าที่อารักขาผู้นำแห่งนี้ในขณะนี้
ชีเทิลสำทับว่า กรมกิจการลับได้รับการแจ้งเตือน 2-5 ครั้งก่อนเกิดเหตุเกี่ยวกับ “บุคคลต้องสงสัย” ในบริเวณที่ปราศรัยในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย แต่ตอนนั้น โทมัส ครุกส์ ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็น “ภัยคุกคาม” และมีการส่งทีมไปค้นหาเพื่อสอบปากคำบุคคลต้องสงสัยดังกล่าว แต่ไม่พบจนกระทั่งมือปืนวัย 20 ปีผู้นี้เริ่มลั่นกระสุน
ในเหตุการณ์ดังกล่าว ครุกส์ขึ้นไปซุ่มบนหลังคาอาคารที่อยู่ใกล้กับเวทีปราศรัย และยิงไปที่บริเวณเวทีปราศรัยด้วยปืนไรเฟิลจู่โจม หลังจากทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน เริ่มปราศรัยไม่กี่นาที
ครุกส์ถูกหน่วยซุ่มยิงของกรมกิจการลับกระทำวิสามัญฆาตกรรมในเวลาไม่ถึง 30 วินาทีหลังจากที่เขาลั่นกระสุนนัดแรกจากทั้งหมด 8 นัด อันเป็นเหตุให้ผู้ฟังการปราศรัยเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บ 1 คน ถึงแม้ตัวทรัมป์เองแค่บาดเจ็บเล็กน้อยจากถูกกระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวที่ใบหูขวา
เจ้าหน้าที่สอบสวนสรุปว่า ครุกส์ลงมือคนเดียว และไม่สามารถระบุแรงจูงใจ รวมทั้งอุดมการณ์หรือความโน้มเอียงทางการเมืองได้
ในการให้ปากคำวันจันทร์ ชีเทิลยังปฏิเสธข้อกล่างอ้างของรีพับลิกันที่ว่า กรมกิจการลับปฏิเสธที่จะจัดหาทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่ออารักขาทรัมป์ แต่ยืนยันว่า มีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยอดีตประธานาธิบดีผู้นี้ก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งจัดมาตรการรักษาความปลอดภัยตามที่ทีมหาเสียงของทรัมป์ต้องการ
กระนั้น ชีเทิลยืนกรานปฏิเสธตอบคำถามเกี่ยวกับขอบเขตการรักษาความปลอดภัย สิ่งที่เจ้าหน้าที่ล่วงรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามที่เป็นไปได้ และการตัดสินใจที่เกิดขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมต้องสงสัยของมือปืน โดยอ้างว่า เนื่องจากการสอบสวนของคณะกรรมการหลายชุดยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งรวมถึงการสอบสวนภายในที่จะเสร็จสิ้นภายใน 60 วัน
ทว่า สมาชิกสภาจากทั้งสองพรรคใหญ่รับไม่ได้กับการต้องรอนานขนาดนั้น และกล่าวหาชีเทิลกีดกันคองเกรสไม่ให้เข้าถึงข้อมูล
ทั้งนี้ ชีเทิลเป็นเจ้าหน้าที่กรมกิจการลับนาน 27 ปี ก่อนลาออกในปี 2021 เพื่อไปรับผิดชอบปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในอเมริกาเหนือของบริษัทเป๊ปซี่โค และได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นผู้อำนวยการกรมกิจการลับในปี 2022
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันอังคาร (23) ทำเนียบขาวแถลงว่า ชีเทิลได้ยื่นใบลาออกแล้ว และประธานาธิบดีไบเดนก็ได้ออกคำแถลงขอบคุณเธอที่ได้ทำงานให้กรมกิจการลับรวมแล้วเกือบ 30 ปี พร้อมยกย่องการที่เธอ “ได้อุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวและเสี่ยงชีวิตของเธอเพื่อปกป้องประเทศชาติของเราตลอดช่วงการทำงานของเธอ” ถึงแม้เขาระบุด้วยว่า “พวกเราทั้งหมดต่างทราบดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก”
ในส่วนของ อเลจานโดร มายอร์กัส รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของกรมกิจการลับ แถลงว่า รองอธิบดี โรนัลด์ โรว์ ซึ่งทำงานกับซีเคร็ตเซอร์วินมา 24 ปี จะเข้าทำหน้าที่เป็นรักษาการอธิบดีจนกว่าจะมีการแต่งตั้งตัวอธิบดีคนใกม่อย่างถาวร
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี )