ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกมาส่งคำเตือนแรงๆ ถึงอิสราเอลเป็นครั้งแรกในวันพุธ (8 พ.ค.) ว่าสหรัฐฯ จะเลิกส่งอาวุธช่วย หากกองทัพยิวเปิดปฏิบัติการโจมตีเต็มรูปแบบที่เมืองราฟาห์ (Rafah) ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาซึ่งอัดแน่นไปด้วยผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์นับล้านๆ คน
“ผมประกาศชัดเจนว่า ถ้าพวกเขาบุกราฟาห์ ผมก็จะไม่ส่งอาวุธที่ในอดีตเคยถูกใช้จัดการปัญหาในราฟาห์และในเมืองต่างๆ” ไบเดน ให้สัมภาษณ์กับ CNN
คำพูดของผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้ถือเป็นการเตือนอย่างเปิดเผยและรุนแรงที่สุด เพื่อที่จะห้ามปรามไม่ให้อิสราเอลเดินหน้าบุกราฟาห์ ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับชาติพันธมิตรที่แน่นแฟ้นที่สุดในตะวันออกกลางเริ่มจะร้าวฉานหนักขึ้นเรื่อยๆ
ไบเดน ยอมรับว่า อาวุธของสหรัฐฯ ถูกอิสราเอลนำไปใช้สังหารพลเรือนในกาซา ระหว่างปฏิบัติการโจมตีแก้แค้นฮามาสที่ยืดเยื้อมานานกว่า 7 เดือน ซึ่งตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซาระบุว่า ทำให้มีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารไปแล้วไม่ต่ำกว่า 34,789 คน และส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
“พลเรือนถูกสังหารในกาซาจากผลของการใช้ระเบิดและวิธีการอื่นๆ ในย่านชุมชน” ไบเดน กล่าว เมื่อถูกถามถึงระเบิดขนาด 2,000 ปอนด์ที่สหรัฐฯ เคยส่งให้อิสราเอล
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ผู้ไม่ประสงค์ออกนามให้ข้อมูลว่า วอชิงตันเริ่มทบทวนแผนจัดส่งอาวุธที่อาจถูกอิสราเอลนำไปใช้ในราฟาห์ และทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจชะลอการส่งมอบระเบิดขนาด 2,000 ปอนด์ จำนวน 1,800 ลูก และระเบิดขนาด 500 ปอนด์ จำนวน 1,700 ลูกให้อิสราเอล
กีลาด เออร์ดัน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ออกมากล่าวตัดพ้อในสัปดาห์นี้ว่า การตัดสินใจของวอชิงตัน “เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง” แต่เจ้าตัวยังเชื่อว่าสหรัฐฯ คงไม่ถึงขั้นหยุดส่งอาวุธให้อิสราเอลโดยสิ้นเชิง
อิสราเอลเริ่มเปิดฉากโจมตีเมืองราฟาห์ในสัปดาห์นี้ ขณะที่ ไบเดน ระบุว่าเขายังไม่ถือว่านี่เป็นการโจมตีเต็มรูปแบบ เนื่องจากกองทัพยิวยังไม่ได้มีการล็อกเป้าถล่มจุดที่เป็น “ศูนย์กลางชุมชน”
บทสัมภาษณ์ ไบเดน ถูกเผยแพร่เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมายอมรับว่าผู้นำสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ระงับการส่งระเบิดให้อิสราเอลเพราะห่วงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือนในราฟาห์ ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ พยายามคัดค้านไม่ให้อิสราเอลจู่โจมเมืองแห่งนี้จนกว่าจะมีมาตรการปกป้องพลเรือนที่ได้ผลจริงเสียก่อน
ในปี 2016 รัฐบาลสหรัฐฯ และอิสราเอลเคยลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 3 ซึ่งกินระยะเวลา 10 ปี โดยอเมริกาสัญญาจะมอบความช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 38,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่อิสราเอลภายในช่วงเวลาดังกล่าว โดยแบ่งออกเป็นเงินสนับสนุนให้เปล่า (grants) เพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวน 33,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 5,000 ล้านดอลลาร์สำหรับระบบป้องกันขีปนาวุธ
เดือนที่แล้ว สภาคองเกรสเพิ่งจะอนุมัติงบช่วยเหลืออิสราเอลเพิ่มเติมอีก 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไบเดน ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะยังสนับสนุนอาวุธเพื่อการป้องกันตนเองให้อิสราเอลต่อไป ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันภัยทางอากาศไอเอิร์นโดม (Iron Dome)
“เราจะยังคงรับรองว่าอิสราเอลต้องปลอดภัยในแง่ของระบบป้องกันภัยทางอากาศไอเอิร์นโดม และศักยภาพของพวกเขาในการตอบสนองการโจมตีที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางในระยะนี้” ไบเดน กล่าว “แต่มันก็ไม่ถูกต้อง... เราจะไม่ส่งพวกระเบิดและกระสุนปืนใหญ่เข้าไป”
ที่มา : รอยเตอร์
