(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
America on autopilot to self-inflicted destruction
By GEORGE KOO
21/02/2024
ในเวลาที่สหรัฐฯกำลังสาละวนวุ่นวายอยู่กับการตามล่าพวกสปายสายลับจาก “ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดของจีน” อยู่นั้นเอง จีนก็กำลังลงทุนเพื่อพัฒนาทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
ณ รายการไต่สวนสาธารณะรายการหนึ่งในวุฒิสภาสหรัฐฯเมื่อไม่นานมานี้ วุฒิสมาชิก ทอม คอตตอน (Tom Cotton) จากรัฐอาร์คันซอ ดูเหมือนประสบความลำบากในการทำความเข้าใจว่า พลเมืองของสิงคโปร์ผู้หนึ่งสามารถที่จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนๆ กับชาวจีนได้ พูดจาเหมือนๆ กับคนจีน และกระนั้นก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนแต่อย่างใด ระหว่างที่ ส.ว.คอนตอน ซักไซ้ไล่เรียง โจว โซ่วจือ (Chew Shou Zi) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของติ๊กต็อก อยู่นั้น แม้กระทั่งข้อเท็จจริงที่ว่า ภรรยาและลูกๆ ของ โจว เป็นพลเมืองอเมริกัน ก็เหมือนกับทำให้เขารู้สึกข้องใจสงสัย
นี่ดูจะเป็นเรื่องจริงจังร้ายแรงไปเสียทั้งหมดสำหรับคอตตอน และเพื่อนวุฒิสมาชิกของเขา ขณะที่พวกเขาดำเนินการซักถามเพื่อตรวจพิสูจน์ในนามของการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาจากสิ่งที่ทำจะเป็นภัยคุกคามของประเทศจีน ราวกับว่าการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของคอตตอน ไม่ได้บอกให้เขารู้เลยว่าสิงคโปร์นั้นตั้งอยู่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรจากปักกิ่ง และเป็นชาติอธิปไตยชาติหนึ่งซึ่งเป็นเอกราชแยกต่างหากจากประเทศจีน หรือไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นได้ว่าเขาเพียงแต่กำลังแสดงบทบาทอย่างใจจดใจจ่อเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ความคิดจิตใจที่ผ่านการศึกษาอบรมมาน้อยของพวกผู้ออกเสียงในเขตเลือกตั้งของเขา
ในช่วงเวลาใกล้ๆ กันนั้นเอง หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงาน [1] ว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้พัฒนา “เครื่องมือสอดแนมทางทหารสำหรับสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสำคัญระดับจะกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมทีเดียว หนังสือพิมพ์ฉบับนี้กล่าวว่า ผลที่เกิดขึ้นก็คือ การผ่าทางตันทางเทคโนโลยีของพวกเขาครั้งนี้ จะทำให้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนสามารถค้นหาและระบุตำแหน่งของเป้าหมายทางทหารภายในขอบเขตเสี้ยววงกลมคว็อดแรนต์ในแบบเรียลไทม์ ชนิดที่ไม่มีที่ทางสำหรับหลบซ่อนกันได้ทีเดียว
นี่คือเรื่องล่าสุดของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่อเนื่องกันเป็นชุดซึ่งประเทศจีนเพิ่งทำได้สำเร็จในกิจการทางการทหาร อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจีนสามารถที่จะไล่ตามหรือกระทั่งแซงหน้าสหรัฐฯไปได้ในเรื่องการพัฒนาอาวุธ ทั้งนี้เทคโนโลยีอย่างอื่นๆ ยังมีอาทิ ขีปนาวุธความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิก (hypersonic เร็วกว่าความเร็วเสียง 5 เท่าตัวขึ้นไป), เครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีกำบังตัว (stealth), และพวกยานไร้คนบังคับควบคุมอยู่ภายใน (โดรน), ระบบปล่อยเครื่องบินขึ้นฟ้ารุ่นก้าวหน้าในเรือบรรทุกเครื่องบิน, และศักยภาพที่จะสร้างเรือของกองทัพเรือได้เป็นจำนวนซึ่งมากกว่าสหรัฐฯเยอะแยะ
ในเวลาที่สหรัฐฯกำลังสาละวนวุ่นวายอยู่กับการตามล่าพวกสปายสายลับจาก “ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดของจีน” อยู่นั้นเอง จีนก็กำลังลงทุนในด้านการพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อลบล้างความเหนือกว่าทางการทหารของอเมริกัน
ในแต่ละครั้งที่จีนพัฒนาสิ่งซึ่งสามารถต่อสู้กับอาวุธระดับก้าวหน้าของอเมริกาได้ เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สหรัฐฯเกิดอาการโรคจิตหวาดระแวงเกี่ยวกับภัยคุกคามของจีน และทำให้พวกมนุษย์โนม (gnomes) หรือ คนตัวจ้อยนักเฝ้าสมบัติ แห่งเพนตากอนต้องลนลานขอแบ่งสรรงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับพัฒนาเครื่องจักรฆ่าฟันเจเนอเรชั่นต่อไป ด้วยเหตุนี้มันจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่แกเหนือกว่าข้า จากนั้นข้าก็จะเหนือกว่าแกโทษฐานที่มาเหนือกว่าข้า และวงจรอุบาทว์เช่นนี้ก็จะเคลื่อนที่เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
พวกนักยุทธศาสตร์และนักวางแผนในวอชิงตันก็เก่งกาจกันนักหนาในการสร้างฉากทัศน์ทำนองนี้โดยยึดโยงอยู่กับการคาดการณ์ถึงสิ่งที่ฝ่ายจีนจะกระทำ “ถ้าหากผมเป็นพวกเขา” พวกนายพลเพนตากอนบางคนคาดเดาว่ากองทัพปลดแอกประชาชนจีนจะพรักพร้อมเข้ารุกรานไต้หวันภายในปี 2027 ทันทีทันใดนั้น ความตั้งใจของแผ่นดินใหญ่ที่จะรุกรานอย่างที่ว่ามานี้ก็กลับกลายเป็นข้อเท็จจริงไปเลย และทำให้มีการสั่นระฆังเตือนภัยกันเลื่อนลั่น ขณะที่การเตรียมตัวเพื่อเข้าสงครามเริ่มต้นขึ้น
การวาดภาพจีนให้เป็นภัยคุกคามอันตรายประการหนึ่ง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับธุรกิจ
แน่นอนทีเดียว การจัดวางตำแหน่งให้จีนเป็นภัยคุกคามอันตรายประการหนึ่ง คือเรื่องที่ดีสำหรับการพิทักษ์ปกป้องธุรกิจของอเมริกา ประเทศใดๆ ก็ตามที่เชื่อว่าจีนเป็นภัยคุกคามย่อมกลายเป็นลูกค้ารายหนึ่งของการให้ความคุ้มครองปกป้องความมั่นคงของสหรัฐฯ สหรัฐฯนั้นมีฐานทัพทางทหารมากกว่า 800 แห่งตลอดทั่วโลก และจำเป็นต้องหาเหตุผลหลายๆ ข้อเอาไว้สำหรับอธิบายว่าทำไมจึงต้องมีฐานทัพมากมายเหล่านี้
ในอีกด้านหนึ่ง โลกกำลังตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กับการตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า จีนไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรแก่ใครทั้งนั้น จีนเป็นคนกลางทำให้เกิดข้อตกลงสันติภาพระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านขึ้นมา อีกทั้งได้สถาปนาแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของตนร่วมกับประเทศต่างๆ 150 ประเทศ ปักกิ่งไม่ได้มีการปรากฏตัวทางทหารใดๆ ภายนอกประเทศจีนเลย เราสามารถพูดได้เช่นนั้น ยกเว้นแต่คุณจะนับเอาฐานสำหรับการส่งเสบียงสัมภาระแห่งหนึ่งในประเทศจีบูติว่าเป็นฐานทัพทางทหาร นอกจากนั้นจีนยังยึดมั่นปฏิบัติตามหลักการไม่แทรกแซงใดๆ เข้าไปในกิจการภายในของประเทศอื่นๆ
แม้กระทั่งสหรัฐฯก็ตกเป็นข่าวลือว่าได้ขอร้องจีนให้ทำหน้าที่ในนามของอเมริกา เพื่อการไกล่เกลี่ยประนีประนอมกับอิหร่านและพวกฮูตีในเยเมน พวกฮูตีนั้นกำลังยิงขีปนาวุธก่อกวนการเดินเรือทะเลของอเมริกันและอิสราเอลในทะเลแดง บังคับให้เรือจำนวนมากต้องปรับเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอ้อมรอบจงอยแอฟริกา แทนที่จะเดินเรือตัดตรงผ่านคลองสุเอซ จนก่อให้เกิดความสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญขึ้นมา
ถึงแม้มีฐานทัพตั้งกระจายอยู่ทั่วโลก แสนยานุภาพทางทหารอันเกรียงไกรของอเมริกันในทางเป็นจริงแล้วกลับอยู่ในอาการช่วยอะไรไม่ได้ทำอะไรไม่ถูก เมื่อจะเล่นงานพวกกบฎฮูตีในเยเมน อีกทั้งไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ต่ออิหร่าน พวกฮูตีซึ่งกำลังเล่นงานฝ่ายอเมริกันเพื่อเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจชาวปาเลสไตน์ในดินแดนฉนวนกาซา ปรากฎว่าได้รับเกียรติภูมิและการยอมรับจากทั่วโลก จีนไม่สามารถที่จะเสนอหนทางเยียวยาแก้ไขใดๆ ให้แก่สหรัฐฯได้นอกเหนือจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะต้องโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมอิสราเอลให้ประกาศหยุดยิงในทันทีเท่านั้น
เมื่อชาติที่เป็นหมู่เกาะเล็กๆ อย่างนาอูรู สับสวิตซ์จากการมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐจีน (Republic of China ซึ่งก็คือ ไต้หวัน) เปลี่ยนมาเป็นการรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน ถึงขั้นต้องบินไปยังรัฐหมู่เกาะแห่งอื่นๆ ในแปซิฟิกใต้ ขอร้องพวกเขาให้ยึดมั่นแนวทางเดิมเอาไว้ และอย่าได้สับสวิตซ์เปลี่ยนแปลงความผูกพันทางการทูตของพวกเขา และเพื่อเป็นการตอบแทน เขาสัญญาที่จะให้เงินทองหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลของประเทศเหล่านี้
“คนขาวเป็นพวกที่เชื่อถือไว้ใจไม่ได้”
บลิงเคนมาแล้วก็จากไป และไม่มีเงินทองอะไรไหลติดตามออกมาจากวอชิงตันเลย พวกผู้ปกครองของประเทศปาเลา และประเทศหมู่เกาะมาร์แชลล์ หมดความอดทนและเขียนจดหมายไปถึงวอชิงตัน ตอนแรกก็ยังอยู่ในรูปแบบของการติดต่อสื่อสารกันเป็นการส่วนตัว จากนั้นก็เป็นจดหมายเปิดเผยต่อสาธารณชน บอกเล่าให้โลกทราบว่าคำพูดอันมีเกียรติของฝ่ายอเมริกันนั้นไม่ได้มีค่าอะไรมากมายเลย
มาถึงจุดนี้ โลกก็ได้เห็นผู้ที่ตั้งตัวเป็นเจ้าเหนือกว่าใครในโลกรายนี้ อยู่ในอาการช่วยอะไรไม่ได้ทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มกบฎ “กระจอกๆ” กลุ่มหนึ่ง, อยู่ในสภาพหมดหวังไม่สามารถที่จะยุติการปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลในกาซา, และยื่นเสนอเช็คจ่ายเงินให้แก่พวกชาติหมู่เกาะเล็กๆ ซึ่งกลายเป็นเช็คที่ขึ้นเงินไม่ได้
แล้วเกี่ยวกับเรื่องที่สหรัฐฯแข่งขันทางเศรษฐกิจกับจีนซึ่งเริ่มต้นขึ้นโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเวลานั้น ขณะที่เขาพยายาม “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง” ซึ่งผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา คือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ยังคงนำมาดำเนินการต่อและกระทั่งเน้นหนักมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำล่ะ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว?
ก่อนอื่นใดเลย การที่ทรัมป์ยืนกรานว่าภาษีศุลกากรซึ่งบังคับเก็บเอาจากสินค้านำเข้าจากประเทศจีน เป็นเงินที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯจะได้มาอย่าง “ฟรีๆ” คือเรื่องที่ใครก็ตามซึ่งเคยเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน Economics 101 ย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันเป็นความคิดเห็นที่ไร้สาระน่าหัวเราะเยาะ กระนั้นก็ตาม ไบเดนยังคงดำเนินนโยบายขึ้นภาษีศุลกากรนี้ต่อไป เนื่องจากเขาหวาดกลัวว่ามันจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้แก่พวกผู้ออกเสียงชาวอเมริกันซึ่งโง่เขลาเพียงพอที่จะเชื่อถือในคำอธิบายของทรัมป์ เรื่องที่ว่ามันเป็นเงินที่ได้มาฟรีๆ (ขณะที่ความพยายามอธิบายตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่า การขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้า แท้จริงแล้วจะสร้างความเสียหายให้แก่เงินในกระเป๋าของพวกผู้เสียภาษีเอง เป็นเรื่องที่กระทำได้ลำบากยากเย็นยิ่งกว่ากันมาก)
ไม่เพียงเท่านั้น ไบเดนยังเพิ่มเดิมพันมากขึ้นอีก ด้วยการประกาศให้แรงจูงใจต่างๆ เพื่อนำเอาอุตสาหกรรมการผลิตกลับคืนมายังสหรัฐฯ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้โยกย้ายออกจากจีน มาลงหลักปักฐานยังพวกประเทศที่มีความเป็นมิตรกับสหรัฐฯมากกว่าแดนมังกร อย่างที่เรียกกันเป็นสำนวนว่า “การโยกย้ายมายังชายฝั่งใกล้เคียง” (nearshoring) เรื่องนี้เห็นทีต้องให้เครดิตแก่ไบเดนทีเดียว สหรัฐฯได้เห็นการหวนคืนของอุตสาหกรรมการผลิตในระดับพอประมาณ โดยเป็นพวกการผลิตที่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติอย่างยิ่งสูงลิ่ว และไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเหล่าคนงานการผลิตผู้มีทักษะชำนาญงาน ซึ่งเป็นพวกที่เวลานี้ไม่สามารถหาได้เสียแล้วในอเมริกา
จริงๆ แล้ว พวกอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งผลิตสินค้าที่มีมูลค่าต่ำ ได้พากันโยกย้ายออกไปจากจีนในปริมาณมากมายพอดูทีเดียว โดยที่จุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งหนึ่งก็คือเวียดนาม หลักจริยธรรมในการทำงานของชาวเวียดนามนั้นมีความใกล้เคียงกับที่ใช้กันอยู่ในประเทศจีน และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประสบความสำเร็จกันในบางระดับ ทว่าการดำเนินงานเหล่านี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยพวกสายโซ่อุปทานซึ่งหยั่งรากอย่างมั่นคงอยู่ในประเทศจีน และในความเป็นจริงแล้วจำนวนมากเลยเป็นกิจการของพวกบริษัทจีนซึ่งโยกย้ายเข้าไปตั้งในเวียดนาม
ข้อมูลทางการค้าในระยะหลังๆ นี้แสดงให้เห็นว่า ขณะที่การส่งออกโดยตรงของจีนมายังสหรัฐฯได้ลดถอยลง แต่การส่งออกของแดนมังกรไปยังเวียดนามและเม็กซิโกกลับเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ ในจังหวะก้าวที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของสินค้าส่งออกจากเวียดนามและเม็กซิโกมายังสหรัฐฯ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า สายโซ่อุปทานได้ขยายยืดยาวออกไป และกลายเป็นมีประสิทธิภาพลดน้อยลงด้วยซ้ำ ในการตอบโต้โดยตรงต่อนโยบายการค้าของอเมริกัน
การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของจีนกำลังแซงหน้าแย่งส่วนแบ่งของตลาดโลกได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับพายุบุแคม จนรกระทั่งแดนมังกรกลายเป็นชาติผู้ส่งออกรถยนต์หมายเลขหนึ่งไปแล้ว โดยสามารถแซงหน้าทั้งญี่ปุ่น, เยอรมนี, และเกาหลีใต้ เพื่อกีดกันไม่ให้รถอีวีจีนเข้าตลาดอเมริกัน ไบเดนได้ขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าเอาเข้าสินค้าเหล่านี้ในอัตรา 25% การตอบโต้ของจีนคือไปสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นในเม็กซิโก [2]
ยุทธศาสตร์ของไบเดนในการนำเอาอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์กลับคืนมา ก็ประสบผลสำเร็จน้อยกว่าที่คาดหมายเอาไว้อย่างสำคัญ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลต่างๆ จำนวนหนึ่ง
อย่างที่บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC) ค้นพบ เมื่อตอนที่พวกเขายอมตามแรงบีบคั้นของสหรัฐฯ และโยกย้ายสายการผลิตระดับก้าวหน้าสายหนึ่งมาที่เมืองฟินิกซ์, รัฐแอริโซนา ของสหรัฐฯ นั่นคือ การขาดแคลนคนงานมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการสร้างและดำเนินงานในโรงงานซึ่งเต็มไปด้วยการท้าทายในทางเทคโนโลยีเช่นนี้ และยังทำให้วันเวลาสำหรับเริ่มต้นการดำเนินงานเป็นปฐมฤกษ์ ถูกเลื่อนช้าออกไปเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปีแล้ว
TSMC ได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้เงินอุดหนุนเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการโยกย้ายโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์มายังสหรัฐฯคราวนี้ จนถึงเวลานี้บริษัทก็ยังกำลังเฝ้ารอเงินก้อนนี้อยู่ เวลาเดียวกันนั้น อินเทล (Intel) ที่ถือกำเนิดและได้รับการเพาะเลี้ยงขึ้นมาโดยอเมริกัน และกลับมาสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่แห่งหนึ่งที่ระดับความก้าวหน้าด้อยกว่าของ TSMC นักหนาขึ้นในสหรัฐฯเหมือนกัน ตอนนี้กลับกำลังได้รับแบ่งสรรเงินอุดหนุนหลายพันล้านของพวกเขาเป็นงวดๆ อย่างทันการณ์ทันเวลา คงไม่มีใครเซอร์ไพรซ์เลยสำหรับความเป็นไปได้อย่างมากที่ TSMC จะถูกทิ้งให้ต้องแบกความรับผิดชอบอย่างหนักอึ้งอยู่เพียงลำพัง
การพร่ำพูดว่าจีนกำลัง “พังทลาย” เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
พวกบัณฑิตผู้รู้ในสื่อมวลชนกระแสหลักพากันหัวเราะอย่างเริงร่า ขณะที่พวกเขาเป็นประจักษ์พยานการล้มละลายเมื่อเร็วๆ นี้ของบริษัทโฮลดิ้งด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ ของจีน พวกเขาพากันขยายความต่อไปอีกและพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะมีอัตราเติบโตติดลบ และกระทั่งพังครืนลงมาอย่างสิ้นเชิง –อีกแล้ว อย่างที่พวกเขาเคยแช่งชักมาแล้วหลายหนเต็มที ทั้งนี้ สามารถติดตามชมตัวอย่างของการชำแหละการแสดงละครขำขันสาปแช่งจีน [3] เช่นนี้ได้อย่างฉลาดหลักแหลมน่าสนใจมาก ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ZHlrgUdgKP0&t=25s
กระนั้นก็ตามที รายงานการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปีนี้โดย ศูนย์กลางเพื่อการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ (Center for Economic Policy Research) ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศว่า “จีนเวลานี้กลายเป็นอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียวของโลกในด้านอุตสาหกรรมการผลิต [4] ผลผลิตทางอุตสาหกรรมของจีนประเทศเดียว สูงมากกว่าของพวกชาติอุตสาหกรรมการผลิตใหญ่ที่สุดถัดๆ ลงมา 9 อันดับของโลกรวมกันเสียอีก” โดยอยู่ในระดับใหญ่เป็น 3 เท่าตัวของสหรัฐฯ และใหญ่เป็น 6 เท่าตัวของญี่ปุ่น
ในฐานะที่เป็นอภิมหาอำนาจทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตของโลก มันจึงไม่น่าประหลาดใจอะไรที่จีนสามารถแซงหน้าสหรัฐฯไปอย่างง่ายดายไม่ว่าในเรื่องการผลิตอาวุธเพื่อทำสงคราม หรือการทำสินค้าทางด้านอุตสาหกรรม
ถ้าหากพวกผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตกไม่มัวแต่สาละวนอยู่กับการด้อยค่าความพากเพียรพยายามของจีน เที่ยวโบ้ยความก้าวหน้าของแดนมังกรว่าเนื่องจากการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญาและการก็อบปี้ลอกเลียนคนอื่นแล้ว พวกเขาก็อาจเกิดตระหนักถึงความเป็นจริงขึ้นมาแล้วว่า การที่จีนมีฐานะเหนือล้ำกว่าใครๆ ทั้งทางด้านรถอีวี, การต่อเรือ, การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน, และการพัฒนารถไฟความเร็วสูงนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากจีนต้องตอบสนองความต้องการของตลาดภายในประเทศที่มีขนาดมหึมาและเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
หนทางอีกอย่างหนึ่งในการตอบโต้เพื่อแข่งขันกับจีนซึ่งเป็นสิ่งที่ทำเนียบขาวของไบเดนทำ ได้แก่การบังคับใช้มาตรการแซงก์ชั่น รวมทั้งการตั้งข้อจำกัดการส่งออกพวกเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ และชิปสำหรับใช้ในด้านปัญญาประดิษฐ์
เมื่อพิจารณาโดยอิงกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้ที่อเมริกากระทำกับรัสเซีย ซึ่งปรากฏว่าทั้งการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจและการปิดกั้นไม่ให้ค้าขายกับต่างประเทศ กลับก่อให้เกิดผลสะท้อนด้านกลับ และกลายเป็นการขับดันหนุนส่งอย่างแรงแก่รัสเซียให้เร่งดำเนินการส่งออกไปยังโลกที่มิได้ผูกพันธมิตรกับสหรัฐฯ รวมทั้งทำให้มูลค่าของสกุลเงินรูเบิลแข็งขึ้นทำนิวไฮหลายต่อหลายครั้ง ไบเดนจึงยิ่งสมควรที่จะต้องคำนึงให้ดีว่า ประเทศจีนนั้นใหญ่โตจนเกินกว่าที่จะสามารถบีบคอบีบรัดเอาจนดิ้นไม่ออก
เอาเข้าจริงแล้ว เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา [5] หัวเว่ยก็สามารถสร้างเซอร์ไพรซ์ให้สหรัฐฯ ด้วยการเปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่แข่งขันกับไอโฟนรุ่นล่าสุดของแอปเปิลในเรื่องฟังก์ชั่นต่างๆ โดยใช้ชิปที่ทางหัวเว่ยดีไซน์เองและผลิตโดยโรงงานซึ่งตั้งอยู่ภายในจีนของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง อินเตอร์เนชั่แนล คอร์ป (Semiconductor Manufacturing International Corp หรือ SMIC) หัวเว่ยนั้นถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงบริการด้านโรงงานผลิตชิปของ TSMC มาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว แต่แล้วพวกเขากลับค้นพบหนทางในการข้ามลอดมาตรการจำกัดเหล่านี้
เมื่อมีความมุ่งมั่นตั้งใจ มันก็มีหนทาง
เป็นเรื่องจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จีนจะต้องค้นหาหนทางลอดข้ามมาตรการแซงก์ชั่นและการห้ามค้าขายของอเมริกัน มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
จีนมีประชากรเป็นจำนวน 4 เท่าตัวของที่สหรัฐฯมี และในแต่ละปีสามารถสร้างบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม, และคณิตศาสตร์ (science, technology, engineering and mathematics หรือที่นิยมเรียกรวมๆ โดยใช้ตัวอักษรตัวหน้าของทั้ง 4 คำนี้มาเรียงต่อกันว่า สะเต็ม STEM) ได้มากเป็น 6 เท่าตัวของสหรัฐฯ รวมทั้งมีตลาดผู้บริโภคชนชั้นกลางที่มีขนาดใหญ่กว่าประชากรรวมทั้งหมดของสหรัฐฯเสียอีก
ด้วยความสามารถทางด้านอุตสาหกรรมที่มีมากเป็น 3 เท่าตัวของสหรัฐฯ และด้วยกำลังแรงงานที่มีความทันสมัยทางด้านเทคโนโลยี ทำไมอเมริกาจึงควรจะต้องรู้สึกขุ่นเคืองกับการที่ถูกจีนแซงหน้าไปในทางเศรษฐกิจ?
ในเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากการโต้เถียงกันเกี่ยวกับการสร้างกำแพงขึ้นที่ชายแดนทางภาคใต้ของประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้พวกผู้อพยพผิดกฎหมายเข้ามาแล้ว ผมก็ไม่เห็นมีความสำเร็จอะไรนักหนาเลยในเรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาใหม่อีกครั้งในอเมริกา ขอหัวเราะให้ดังๆ หน่อยเถอะ เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เพียงเรื่องเดียวที่ผมได้เห็นก่อนหน้านี้ในปีนี้คือ การฟื้นฟูบูรณะสะพานแฮมิลตัน (Hamilton Bridge) [6] ที่สร้างข้ามแม่น้ำอีสต์ (East River) ในนครนิวยอร์ก
งานนี้จริงๆ แล้วเสร็จสิ้นมาตั้งแต่ปี 2013 และผู้ที่ทำงานนี้ก็คือบริษัทก่อสร้างจีนแห่งหนึ่ง [7] ซึ่งตั้งฐานอยู่ใกล้ๆ ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ในช่วงที่สหรัฐฯกับจีนยังเป็นมิตรกันมากกว่านี้ สหรัฐฯกำลังเจอปัญหาเครื่องกระสุนสำหรับจัดส่งให้แก่ยูเครนร่อยหรอลงเต็มที ขณะที่พวกฮูตีกำลังก่อกวนทำให้ทะเลแดงกลายสภาพราวกับเป็นนรก เหมือนกับเป็นยุงริ้นตัวเล็กๆ ที่ไล่ตีไล่ตบไม่ถูกเสียที นอกจากนั้นแล้ววอชิงตันยังไม่ได้มีโชคอะไรนักหนาในการโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลไทเปยั่วยุมังกรใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของช่องแคบไต้หวัน และกำลังเผชิญกับสภาพที่ชื่อเสียงเกียรติภูมิในทั่วโลกหดหายลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละมื้อแต่ละวันที่ผ่านไป
เดวิด โกลด์แมน ของเอเชียไทมส์ เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง “รักษาอนาคตของอเมริกาให้ปลอดพ้นจากพวกบล็อบ” (Saving America’s future from the blob) [8] สำหรับผมแล้ว เจ้า “บล็อบ” นี่ ผมมองเห็นว่าเป็นคำซึ่งเหมาะสมมากกว่าสำหรับใช้หมายถึงพวกนีโอคอน (neocons พวกอนุรักษนิยมใหม่ Neoconservatives) ซึ่งเที่ยววิ่งพล่านไปอย่างคลุ้มคลั่งในวอชิงตัน คอยสร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นในทุกหนทุกแห่งในโลก ในนามของการพิทักษ์ปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ ยิ่งเกิดความตึงเครียดจากที่พวกเขาสร้างขึ้นมาได้มากเท่าใด แวดวงอุตสาหกรรม-การทหาร (military industrial complex) ก็ยิ่งได้รับออร์เดอร์ซื้ออาวุธรุ่นใหม่ๆ มากขึ้นเท่านั้น
(หมายเหตุผู้แปล - บล็อบ blob หมายถึงหยดเมือก หรือรอยเปื้อน ลักษณะกลมๆ อ้วนๆ ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 มีภาพยนตร์ฮอลลีวูดเกรดบีแนววิทยาศาสตร์สยองขวัญใช้ชื่อเรื่องว่า The Blob ซึ่งได้รับความนิยมและอิทธิพลพอสมควร โดยที่ The Blob เป็นเอเลี่ยนจากนอกโลกที่มีรูปร่างเป็นเมือกๆ คล้ายเยลลี แต่สามารถเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ โดยเข้าห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตต่างๆ เอาไว้ จากนั้นมันก็มีขนาดใหญ่ขึ้นๆ รวมทั้งก้าวร้าวขึ้นทุกที ในช่วงทศวรรษ 2010 คำๆ นี้ถูก เบน โรดส์ Ben Rhodes รองที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติในยุคประธานาธิบดีบารัค โอบามา นำมาใช้โดยหมายถึงพวกชนชั้นนำทรงอิทธิพลในแวดวงนโยบายการต่างประเทศในวอชิงตัน ซึ่งยังคงเดินตามแนวทางนโยบายที่ใช้กันเรื่อยมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งนี้ในข้อเขียนเรื่อง “รักษาอนาคตของอเมริกาให้ปลอดพ้นจากพวกบล็อบ” Saving America’s future from the blob โกลด์แมนบอกว่าใช้คำนี้ตามความหมายของโรดส์ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/The_Blob และ https://www.vox.com/22153765/joe-biden-foreign-policy-team-revenge-blob และ https://asiatimes.com/2024/02/saving-amercas-future-from-the-blob/)
ชาวอเมริกันชำระเงินค่าอาวุธเหล่านี้ด้วยการกู้ยืมเพิ่มหนี้สินแห่งชาติของพวกตน และด้วยการพิมพ์เงินออกมามากขึ้นเรื่อยๆ สภาพเช่นนี้ มันจะต้องมาถึงสักวันหนึ่งจนได้ เมื่อทุกๆ คนในโลกต่างตระหนักมองเห็นมูลค่าที่เสื่อมลงอย่างสม่ำเสมอของเงินดอลลาร์ และตัดสินใจที่จะไม่ยอมรับเงินตราสกุลนี้อีกต่อไปแล้ว ดอลลาร์ที่มีแต่หนุนหลังด้วยศรัทธาอันน่าข้องใจสงสัยล้วนๆ และเครดิตความน่าเชื่อถือที่หดหายลงไปทุกทีของอเมริกา ดังนั้นสหรัฐฯจึงมีหวังจะต้องจมอยู่ในโลกแห่งความเจ็บปวด
โกลด์แมน สรุปเอาไว้ในข้อเขียนของเขาว่า “เราไม่สามารถหยุดยั้งการผงาดขึ้นมาของจีนได้ แต่เราสามารถผงาดขึ้นมาด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่า” ว้าว เราสามารถทำได้แน่หรือ?
งบ 500 ล้านดอลลาร์สำหรับการกระหน่ำโจมตีจีน
สิ่งที่ผมเพิ่งได้เห็นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ก็คือว่า รัฐสภาสหรัฐฯมีการหารือจัดสรรงบประมาณจำนวน 500 ล้านดอลลาร์สำหรับ “การเสนอข่าวในทางลบเกี่ยวกับประเทศจีน” [9] ผมเดาเอานะว่าพวกเขาคงคิดว่าหนทางหนึ่งที่จะสามารถหยุดยั้งการผงาดขึ้นมาของจีนได้ ก็คือการพยายามป่าวร้องให้ทุกๆ การก้าวขึ้นมาของแดนมังกร กลายเป็นเรื่องราวการพังครืนของประเทศจีน เรานั้นคือกลไกการโฆษณาชวนเชื่อที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก และเราสามารถ (รวมทั้งกระทำด้วย) วาดภาพเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างให้ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นความจริงอย่างแท้จริง
การนำพาผู้คนกว่า 700 ล้านคนให้พ้นออกมาจากความยากจน สามารถที่จะถูกรายงานว่าเป็นความโหดร้ายป่าเถื่อนไม่เคารพสิทธิมนุษยชน การให้การศึกษาใหม่แก่หนุ่มสาวชาวอุยกูร์เพื่อนำพาพวกเขาให้ออกห่างจากลัทธิก่อการร้าย สามารถถูกตีความว่าเพื่อเอาพวกเขาเป็นทาสแรงงาน การใช้ความรุนแรงทำลายทรัพย์สินต่างๆ และเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ โดยฝีมือของพวกผู้ประท้วงในฮ่องกง สามารถที่จะโพนทะนา –ตามคำพูดของ แนนซี เพโลซี (Nancy Pelosi) เมื่อตอนที่เธอยังเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯว่า เป็นการต่อสู้ “อันสวยงาม” เพื่อประชาธิปไตยและเสรีภาพ
วิธีหลอกตัวเองด้วยการนำผ้ามาปิดตาตัวเองเอาไว้ คือวิธีการที่อเมริกากำลังบินอยู่ในโหมด “ออโต้ไพล็อต” ตรงแน่วไปยังภูเขาซึ่งทอดขวางรออยู่ในเส้นทางบินของพวกเขา
จอร์จ คู เกษียณอายุจากบริษัทให้บริการด้านคำปรึกษาระดับโลกแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาได้ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และการดำเนินการทางธุรกิจของพวกเขาในประเทศจีน เขาสำเร็จการศึกษาจาก MIT, Stevens Institute และ Santa Clara University และเป็นผู้ก่อตั้งตลอดจนเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการของ International Strategic Alliances
เชิงอรรถ
[1]https://www.scmp.com/news/china/science/article/3250752/nowhere-hide-chinese-scientists-develop-game-changing-military-surveillance-device-electronic
[2]https://fortune.com/2023/12/30/chinese-electric-vehicles-makers-mexico-plans-spark-fears-in-us/
[3]https://www.youtube.com/watch?v=ZHlrgUdgKP0&t=25s
[4] https://cepr.org/voxeu/columns/china-worlds-sole-manufacturing-superpower-line-sketch-rise
[5] https://asiatimes.com/2023/09/us-commerce-secretarys-china-visit-overshadowed/
[6] https://www.youtube.com/watch?v=AK3w0eV49J4
[7] https://asiatimes.com/2017/04/xi-trump-talk/
[8] https://asiatimes.com/2024/02/saving-amercas-future-from-the-blob/
[9] https://prospect.org/politics/congress-proposes-500-million-for-negative-news-coverage-of-china/