เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตลองไปออกอ่าว-ออกทะเลกันดูสักหน่อย!!! โดยทะเลในที่นี้ย่อมไม่ใช่ทะเลธรรมดาๆ อยู่แล้วแน่ๆ แต่เป็น “ทะเลแดง” ที่เชื่อมต่ออยู่กับ “คลองสุเอซ” อันถือเป็นเส้นทางเดินเรือ เส้นทางคมนาคมสายหลักของโลกอีกสายหนึ่ง ที่บรรดาเรือขนส่งสินค้าต่างต้องอาศัยช่องทางดังกล่าวขนส่งสิ่งของจิปาถะ ไม่ว่าเสื้อผ้า อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ของเล่นเด็ก สินค้าในธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงสินค้าพลังงานอย่างน้ำมันและแก๊สฯลฯ ผ่านเส้นทางสายนี้จำนวนถึง 12 เปอร์เซ็นต์ของการค้าโลก เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่อย่างที่รู้ๆกันอยู่แล้ว...ว่าหลังจาก “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างคุณปู่อิสราเอล เขาได้เล่นบท “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” แบบชนิด “ม.ม้า” วิ่งไล่ยังไงก็ไล่ไม่ทัน ด้วยการขจัดกวาดล้าง เข่นฆ่า ล้างผลาญ บรรดาชาวปาเลสไตน์อย่างชนิดไม่เลือกหน้า ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนแก่-คนชรา เพื่อตอบโต้การโจมตีของพวก “นักรบฮามาส” เมื่อช่วงวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ชนิดผู้คนล้มตายไปแล้วนับเป็นหมื่นๆ บรรดาพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” (Houthis) ที่เป็นชาวอิสลามด้วยกันเขาเลยอดรนทนไม่ไหว ไม่อาจเอามือ-เอาตีนซุกหีบได้อีกต่อไป ต้องออกมาสร้างแรงกดดันเพื่อไม่ให้กองทัพอิสราเอลโหด-เลว-ชั่วมากมายเกินไปกว่านี้...
ด้วยการหันมาเล่นงานบรรดาเรือขนส่งสินค้าต่างๆ ที่อาศัยคลองสุเอซลัดเลาะเข้ามาสู่ช่องทางทะเลแดง โดยอาศัยบทบาท อิทธิพล จากการยึดครองพื้นที่แถบด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเยเมน สามารถแผ่อำนาจข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปยังน่านน้ำแคบๆ บริเวณที่อยู่ระหว่างเมือง “Ras Menheli” ในเยเมน กับฝั่งตรงข้ามในประเทศจิบูตี เอริเทียและจงอยแอฟริกา ความกว้างประมาณ 26 กิโลเมตร ยาวประมาณ 50 กิโลเมตรหรือช่องแคบที่เรียกว่า “Bab al-Mandab”นั่นเอง ยึดเรือ ยิงเรือ ในแต่ละลำ ที่เข้ามาป้วนเปี้ยนในพื้นที่บริเวณนี้ จนก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนกับการขนส่งสินค้าในระดับโลก โดยเฉพาะบรรดาพวกโลกตะวันตกอย่างประเทศยุโรปหรือพวกอียู-อีย้วยทั้งหลาย ที่ต่างต้องพึ่งพาเส้นทางสายนี้มาตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์ หรือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของสินค้านำเข้าทั้งมวลจนตราบเท่าทุกวันนี้...
อันนี้นี่แหละ...ที่มันกลายเป็น “ปัญหา” ระดับโลก ไม่ว่าปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ หรือภูมิยุทธศาสตร์ ฯลฯ ชนิด “ประมุขโลก” หรือมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ที่กระเหี้ยนกระหือรือกับการหนุนช่วยอิสราเอลตั้งแต่เริ่มแรก ด้วยการส่งเรือบรรทุกเครื่องบินถึง 2 ลำ ไม่ว่าเรือ “USS Dwight D. Eisenhower” เรือ “USS Gerald R. Ford”และบรรดากองเรือบริวาร แถมยังมีเรือดำน้ำนิวเคลียร์อย่าง “USS Florida” เข้าไปสมทบอีกต่างหาก จนถือเป็นการระดมกำลังครั้งประวัติศาสตร์ของกองทัพอเมริกาเอาเลยก็ว่าได้ ไปสนับสนุนพันธมิตรรายนี้ให้เข่นฆ่า ล้างผลาญชาวปาเลสไตน์ได้แบบคล่องมือ คล่องตีน โดยไม่ได้สนใจกระแสเสียงของชาวโลกเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ครั้นเมื่อต้องเจอกับการต่อต้าน การสร้างแรงกดดันของกลุ่มกบฏเล็กๆ บริเวณทะเลแดงในลักษณะที่ว่า ก็เล่นเอาประมุขโลกและประธานสมาคมเสือกกิตติศักดิ์อย่างคุณพ่ออเมริกา ถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้า ชนิดอาจถือเป็น “ภาพสะท้อน” ให้เห็นถึง “ความเสื่อม” ของพลังอำนาจอเมริกา ในระดับโลก ระดับภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ หรือภูมิยุทธศาสตร์ เอาเลยก็ว่าได้...
โดยเฉพาะเมื่อบรรดาเรือขนส่งพลังงานรายสำคัญๆ ไม่ว่า BP, MSC, Evergreen, OOCL, MAERSK ฯลฯ ต่างหันมาประกาศว่าไม่เอาแล้ว ไม่คิดจะเดินเรือผ่านช่องทางดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว!!! ต้องเปลี่ยนไปใช้ช่องทางเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปในแอฟริกา อันจะต้องเพิ่มช่วงเวลาการเดินทางเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 3-4 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย ต้องเพิ่มระยะทางในการขนส่งสินค้าไม่ต่ำกว่า 6,000 ไมล์ และที่สำคัญก็คือต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้นไปอีก 44 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจขึ้นไปถึง 2-3 เท่า ถ้าหากฉากเหตุการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ส่งผลให้คุณพ่ออเมริกาเลยต้องหันมาเปิดปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “Operation Prosperity Guardian” หลังการเดินทางไปเยือนคูเวต บาห์เรน กาตาร์และอิสราเอล ของรัฐมนตรีกลาโหมผิวสี “พลเอกLloyd Austin” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยจะอาศัย “กองกำลังร่วม” ของบรรดาชาติพันธมิตรที่คุยว่ามีอยู่ประมาณ 20 ประเทศ หรือที่เรียกว่า “CTF 153” (Combined Task Force)กระทำการตอบโต้ ตรวจจับ ลาดตระเวน เพื่อไม่ให้พวกกบฏฮูตี สามารถสร้างแรงกดดันดังกล่าวได้อีก...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะ “ชนะทางการเมือง-ชนะทุกสิ่งทุกอย่างแพ้ทางการเมือง-แพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง” ดังที่ปรมาจารย์สงครามอย่าง “ท่านประธานเหมาฯ” ท่านว่าไว้ การคิดจะเล่นงานพวกกลุ่มกบฏเล็กๆอย่างพวก “ฮูตี” มันจึงไม่ถึงกับ “ง่าย” สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกนี้ถึง 153 ประเทศ ต่างเห็นพ้อง ต้องกัน ว่าควรต้องหาทาง “หยุดยิง”ในสงครามอิสราเอล-ฮามาสโดยฉับพลัน-ทันที ความเป็น “เอกภาพ” ในกองกำลังร่วม “CTF 153” เลยออกอาการย่อยแยก แตกกระจายตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเอาเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นประเทศในยุโรปอย่างฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ฯลฯที่ออกจะผะอืดผะอมกับการฆ่าไม่เลือกหน้า หรือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ต่างหันรี-หันขวาง ยึกๆ ยักๆ กันไปเป็นประเทศๆ ไปจนถึงพันธมิตรด้านใต้สุดอย่างออสเตรเลีย ยิ่งโดยเฉพาะพวกโลกอาหรับ อย่างอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ ต่างไม่คิดจะเอาด้วย ไม่เห็นควรด้วยโดยชัดเจน อันทำให้โอกาสที่จะลาดตระเวน ปกป้อง ดูแลพื้นที่น่านน้ำในบริเวณนี้ ยิ่งมีแต่ยากส์ส์ส์ยิ่งขึ้นไปใหญ่ แต่ครั้นจะบุกเข้าโจมตีเล่นงานกองบัญชาการของพวกกบฏเหล่านี้ในภาคพื้นดินเพื่อไม่ให้มีโอกาสก่อเกม ก่อกวนใดๆได้อีก โอกาสที่จะเกิด “สงครามขยายวง” ลุกลามไปในระดับภูมิภาค ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกกบฏฮูตีป่าวประกาศเอาไว้แล้วล่วงหน้า ว่าถ้าหากถูกโจมตีภาคพื้นดินเมื่อไหร่ อาจหันจรวด เครื่องบินโดรน ไปสู่เป้าหมายใหม่ๆ เช่น คลังน้ำมันของซาอุฯ และยูเออี ฯลฯ อย่างที่เคยสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ให้กับประเทศเหล่านี้และเคยทำให้ราคาน้ำมันพุ่งระเบิดเถิดเทิง ไปไม่รู้กี่ต่อกี่ดอลลาร์ต่อบาร์เรลมาแล้ว...
ยิ่งถ้าการขยายวงของสงคราม...ลามไปถึงเลบานอนของพวก “เฮซบอลเลาะห์” หรือ “อิหร่าน” ด้วยแล้ว ยิ่งมีแต่ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” หนักขึ้นใหญ่ เพราะแค่ช่องแคบ “Bab al-Mandab” ช่องเดียว...ก็ตายแล้ว!!! ยิ่งถ้าลองเจอกับช่องแคบ “Hormuz” ที่อยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพล ของอิหร่านเข้าไปอีกดอก โอกาสที่จะตาย...กับ...ตาย หรือไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตโดยเด็ดขาด ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยเฉพาะเมื่อ “สงครามสมัยใหม่” ค่อนข้างเป็นใจให้กับการโจมตี ตอบโต้ด้วยอาวุธแบบประเภทจรวด หรือเครื่องบินโดรน ชนิดที่เรือบรรทุกเครื่องบินมูลค่านับเป็นร้อยล้าน พันล้านดอลลาร์ ต้องกลายสภาพเป็น “Sitting Ducks” หรือเป็น “เป็ดง่อย” เอาง่ายๆ แค่การปัดป่าย ปัดป้อง จรวดและโดรนของพวกฮูตี ที่ยิงใส่อิสราเอลหรือเรืออเมริกันในแต่ละที กองทัพอเมริกันต้องเสียกระสุนมูลค่านัดละ 2 ล้านดอลลาร์ จนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะปัด จะป้อง ต่อไปอีกแล้ว หรือถึงขั้นที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหาร อย่าง “นายScott Ritter” อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ถึงกับสรุปไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดว่า... “US Builds Trap for itself in Red Sea” หรืออเมริกาเองนั่นแหละกำลังสร้าง “กับดัก” ให้กับตัวเองในทะเลแดง...
ดังนั้น...ขณะที่ช่องทางคลองสุเอซผ่านทะเลแดง ก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วน ผะอืดผะอมต่ออเมริกาและโลกตะวันตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แถมช่องแคบ “ปานามา” ที่เป็นเส้นทาง 5 เปอร์เซ็นต์ของการค้าโลก ยังต้องเจอกับภาวะน้ำแห้ง น้ำแล้ง ก่อให้เกิดปัญหาการปรับระดับน้ำทะเลสองฟากฝั่ง จนต้องลดปริมาณการเดินเรือลงไปเสียอีก มหาอำนาจสูงสุดอเมริกาและพวก “พรมเช็ดเท้า” ทั้งหลาย ย่อมมีแต่ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่สำหรับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณน้ารัสเซีย หรือคุณพี่จีนแล้ว กลับไหลลื่นและสะดวกโยธินเอามากๆ หรือขณะที่เรือขนส่งพลังงานหลักๆ ต่างไม่คิดจะใช้เส้นทางผ่านทะเลแดง หันไปอ้อมแหลมแอฟริกากันเป็นแถวๆ จนปริมาณเรือที่เคยแล่นผ่านวันละ 50 ลำ หายไปแล้วถึง 32 ลำเป็นอย่างน้อย แต่เรือขนส่งพลังงานของรัสเซียกลับสามารถแล่นเข้า-แล่นออกพื้นที่บริเวณนี้ได้อย่างสะดวกโยธินเอามากๆ จนทำให้ปริมาณการขนส่งพลังงานของรัสเซียไปยังตลาดเอเชีย เพิ่มขึ้นถึง 140 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แถมบรรดาประเทศโลกอาหรับทั้งหลาย ที่หันมาคบจีน คบรัสเซีย โดยไม่ได้สนใจต่อการ “แซงชั่นรัสเซีย” อย่างพวกโลกตะวันตกเอาเลยแม้แต่น้อย ยังทำให้เกิดการเปิดเส้นทางเดินเรือโดยตรงระหว่างเมือง “Novorossiysk” ในรัสเซียภาคใต้ผ่านทะเลดำไปยังตุรเคีย จนถึงเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ หรือเส้นทาง “FEDL” (The FESCO Egypt Direct Line)อันช่วยให้เกิดความเหนียวแน่นระหว่างรัสเซียกับชาติอาหรับในตะวันออกกลางทั้งหลายยิ่งๆ ขึ้นอีก รวมไปถึงเส้นทางเดินเรือสายใหม่ “Northern Sea Rout” (NSR) ที่ทำให้รัสเซียสามารถบรรทุกน้ำมัน 35 ล้านตันจากอ่าวอาร์กติก ไปยังท่าเรือ “Rizhao” ของจีนโดยใช้เวลาแค่ 35 วัน น้อยกว่าเส้นทางคลองสุเอซถึง 10 วัน จนทำให้ความเป็นพันธมิตรจีน-รัสเซียยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ “ไร้ขีดจำกัด” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือแม้ว่าเส้นทางคลองสุเอซจะปั่นป่วน วุ่นวาย ไปถึงขั้นไหน แต่การอาศัยเส้นทางขนส่งสินค้าด้วยรถไฟจากจีนสู่ยุโรป ตามแบบฉบับ “BRI” (Belt and Road Initiative)กลับสามารถรองรับฉากสถานการณ์ความเลวร้ายดังกล่าวได้เป็นอย่างดี...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ไม่ว่ามองกันในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ หรือภูมิยุทธศาสตร์ก็เถอะ โอกาสที่โลกตะวันออกโลกใต้ หรือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” จะค่อยผงาดขึ้นมาแทนที่ โลกตะวันตก โลกเหนือ หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ ต้องเรียกว่า...ออกไปทาง “แบเบอร์” เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ หรือถ้าพูดแบบมาเฟียก็อาจถือเป็น “ข้อเสนอที่เอ็งมิอาจปฏิเสธ” ได้อีกต่อไปแล้ว!!!