(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Chinese pundits predict Russian victory in Ukraine
By JEFF PAO
07/12/2023
ภายหลังกองทัพรัสเซียสามารถเข้ายึดเขตอุตสาหกรรมในเมืองอัฟดิอิฟกาได้สำเร็จ บรรดาคอมเมนเตเตอร์ชาวจีนต่างแสดงความเห็นว่า ยูเครนกำลังจะปราชัย ในสภาพที่ขาดแคลนทั้งกำลังทหารและอาวุธเครื่องกระสุน และควรเริ่มการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย
หลังจากในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กองทหารรัสเซียเข้ายึดครองเขตอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในตอนใต้ของเมืองอัฟดิอิฟกา (Avdiivka) ในแคว้นโดเนตสก์ (Donetsk Oblast) พวกนักวิจารณ์ให้ความเห็นทางสื่อมวลชน (คอมเมนเตเตอร์) ชาวจีน พากันเผยแพร่ข้อเขียนต่างๆ ออกมาชุด ซึ่งคาดการณ์ทำนายความปราชัยพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดของกองทัพยูเครน
(แคว้นโดเนตสก์ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครน เป็นแคว้นที่มีประชากรมากที่สุดของยูเครน โดยที่แคว้นนี้กับแคว้นลูฮันสก์ Luhunsk ซึ่งอยู่ติดกัน รวมกันเรียกว่าภูมิภาคดอนบาส Donbas หรือดอนบาสส์ Donbass ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Donetsk_Oblast
และ https://en.wikipedia.org/wiki/Donbas - ผู้แปล)
พวกเขาบอกว่า ในความพยายามบุกเข้าตีเมืองอัฟดิอิฟกา กองทัพรัสเซียก็ประสบความเสียหายโดยมีทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่แดนหมีขาวนั้นมีความได้เปรียบกองทัพยูเครนทั้งในเรื่องจำนวนทหารและคุณภาพของอาวุธเครื่องกระสุนต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้งานได้
คอมเมนเตเตอร์ชาวจีนเหล่านี้บอกว่า ถ้าหากกองทัพยูเครนล่าถอยออกจากอัฟดิอิฟกาแล้ว รัสเซียจะสามารถเข้าครอบครองแคว้นโดเนตสก์ได้ทั้งแคว้น และเมื่อถึงเวลาเจรจากับรัฐบาลยูเครน ก็จะได้ประโยชน์จากการมีหมากเอาไว้ต่อรองมากกว่า
รายงานต่างๆ ที่ปรากฏบนสื่อจีนกล่าวว่า การสู้รบที่กำลังดำเนินอยู่ในเมืองอัฟดิอิฟกาเวลานี้ มีความดุเดือดเข้มข้นยิ่งกว่าศึกซึ่งเกิดขึ้นในเมืองบัคมุต (Bakhmut) ในช่วงก่อนหน้านี้ของปีนี้ ทว่าจวบจนถึงเวลานี้ยังไม่มีตัวเลขผู้บาดเจ็บล้มตายที่ชัดเจนปรากฏออกมา ทั้งนี้หลังจากที่กองทัพยูเครนล่าถอยออกจากบัคมุต (ซึ่งก็ตั้งอยู่ในแคว้นโดเนตสก์เช่นเดียวกัน) ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ พวกเขาได้โฟกัสเน้นหนักการสู้รบกับฝ่ายรัสเซียเอาไว้ที่แคว้นซาโปริซเซีย ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน
(ชื่อแคว้นตลอดจนชื่อเมืองเอกของแคว้นนี้ ในภาษายูเครนใช้ว่า ซาโปริซเซีย Zaporizhzhia ขณะที่ในภาษารัสเซียเรียกว่า Zaporozhye ซาโปรอซเย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Zaporizhzhia - ผู้แปล)
“หลังจากได้รับชัยชนะมาแล้ว 2 สมรภูมิ คือที่บัคมุตและที่ซาโปริซเซีย กองทัพรัสเซียก็สามารถคาดหวังได้ว่าจะบรรลุชัยชนะครั้งที่ 3 ในอัฟดิอิฟกา” เฉิน เฟิง (Chen Feng) คอลัมนิสต์ของเว็บไซต์ข่าวภาษาจีน Guancha.cn ระบุเช่นนี้ในข้อเขียนซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (5 ธ.ค.) “ทั้งหมดเหล่านี้จะกลายเป็น 3 สมรภูมิใหญ่ที่สุดของสงครามยูเครนไปหรือไม่?”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.guancha.cn/ChenFeng3/2023_12_05_717918.shtml)
“ถ้าหากกองทหารยูเครนถอยทัพออกจากบัคมุต ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นสัก 2-3 เดือน พวกเขาก็ยังอาจสามารถเปิดการโจมตีในซาโปริซเซีย (ในเดือนมิถุนายนปีนี้) ได้อย่างเต็มกำลังและด้วยขวัญกำลังใจที่สูงลิ่ว” คอลัมนิสต์ผู้นี้กล่าวต่อ และชี้ว่า “ในตอนนั้นกองทหารรัสเซียมีขวัญกำลังใจที่ลดต่ำ”
“ว่ากันว่าทั้งพวกนายทหารอาวุโสของยูเครน และพวกกลุ่มคลังสมองต่างๆ ของนาโต พยายามแนะนำประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนมานานแล้ว ให้ทิ้งเมืองบัคมุต ทว่าเขาปฏิเสธไม่ยอมรับความคิดนี้” เฉิน ระบุในข้อเขียน “หลังจากยูเครนเสียเมืองบัคมุตแล้ว เขาก็ยังคงออกคำสั่งให้สู้รบต่อไปอีก เพราะคิดว่ามันจะดูไม่ดีในทางการเมืองถ้าหากยอมทิ้งบัคมุต”
เขามองว่า สิ่งที่เซเลนสกีกระทำ คือการกระทำซ้ำความผิดพลาดของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมนี ซึ่งออกคำสั่งห้ามถอยทัพ จนต้องพ่ายแพ้ต่อสหภาพโซเวียตในที่สุดในศึกสตาลินกราด (Battle of Stalingrad) ในปี 1942-1943
เขาบอกว่า อันที่จริงแล้วกองทัพยูเครนมีการรวมพลอยู่ในซาโปริซเซียตั้งแต่ตอนเริ่มต้นสงคราม โดยวางแผนการบุกทะลวงเข้าสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเลอาซอฟ (Azov Sea) จากเมืองเมลิโตโปล (Melitopol) จนถึงเมืองเบอร์เดียนสก์ (Berdyansk) ซึ่งจะเป็นการตัดขาดพื้นที่ระเบียงทางบกระหว่างรัสเซียกับคาบสมุทรไครเมีย แล้วจากนั้นก็พุ่งเป้าเข้ายึดเมืองท่าสำคัญริมทะเลอาซอฟ อย่างเมืองมาริอูโปล (Mariupol) เขามองว่าหากสามารถทำได้สำเร็จตามแผนการนี้ เซเลนสกีจะสามารถช่วงชิงพื้นที่ของยูเครนกลับคืนมาได้ทั้งหมดตามแผนที่ซึ่งระบุตกลงกันเอาไว้เมื่อปี 1991
เฉิน ซึ่งอ้างอิงทั้งการประมาณการของฝ่ายตะวันตก ตลอดจนของฝ่ายยูเครนและของกลุ่มนักรบรับจ้างวากเนอร์กรุ๊ป มองว่ามีทหารยูเครนถูกฆ่าตายและได้รับบาดเจ็บในบัคมุตมากกว่า 20,000 คน ขณะที่กองทัพรัสเซียสูญเสียทหาร 21,000-22,000 คน และบาดเจ็บอีก 40,000 คน
“ถ้าข้อมูลเหล่านี้เชื่อถือได้ ก็หมายความว่ารัสเซียมีจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายสูงกว่ายูเครนเสียอีก” เขากล่าวต่อ “ทว่ารัสเซียนั้นมีกำลังทรัพยากรมนุษย์มากกว่า ขณะที่ยูเครนไม่สามารถแบกรับความสูญเสียเช่นนี้ได้”
เขาบอกว่า เคียฟเวลานี้ประสบปัญหาขาดแคลนทั้งด้านกำลังทหาร เงินทุนที่จะนำไปใช้จ่าย และอาวุธยุทโธปกรณ์ ดังนั้นจึงควรเริ่มการเจรจาสันติภาพกับรัสเซียโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การโจมตีของรัสเซีย
ขณะที่ความสนใจของโลกในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมา ได้หันเหไปสู่เรื่องการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสเสียแล้ว แต่อันที่จริงสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียกลับทวีความดุเดือดมากขึ้น ในเดือนตุลาคม รัสเซียได้เพิ่มการโจมตีของตนในเมืองอัฟดิอิฟกา และเมืองคูเปียนสก์ (Kupiansk) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอัฟดิอิฟกา
ตอนปลายเดือนพฤศจิกายน มีรายงานว่าฝ่ายรัสเซียได้เข้ายึดเขตอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอัฟดิอิฟกา โดยใช้ “ยุทธศาสตร์ฝูงชนมหึมา” (huge-crowd strategy) ในการเปิด “ประตูเหล็กกล้า” (steel door) ซึ่งปิดสกัดกั้นไม่ให้พวกเขาเข้าสู่อัฟดิอิฟกา
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vietnam.vn/en/chien-su-ukraine-26-11-nga-mo-canh-cua-thep-tien-vao-avdiivka/)
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า อุณหภูมิระดับเยือกแข็งในฤดูหนาวได้ทำให้การสู้รบดำเนินไปอย่างลำบากยิ่งขึ้นมาก และการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่มีความสำคัญยิ่งยวด ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องที่ต้องกระทำเป็นลำดับต้นๆ มากขึ้นไปอีก
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cnbc.com/2023/12/05/ukraine-war-live-updates-latest-news-on-russia-and-the-war-in-ukraine.html)
“ในพื้นที่แนวหน้าและในเมืองใหญ่ๆ ทั้งหลาย” มิคาอิโล โปโดลยัค (Mykhailo Podolyak) ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน กล่าวไว้ในโพสต์บนแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) เมื่อวันจันทร์ (4 ธ.ค.) “เรากำลังพรักพร้อมอยู่แล้วสำหรับการหันไปใช้ยุทธวิธีของการทำสงครามที่แตกต่างไปจากเดิม – อย่างเช่น การป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับพื้นที่บางแห่ง การปฏิบัติการรุกอย่างต่อเนื่องต่อไปในพื้นที่อื่นๆ การปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์พิเศษในคาบสมุทรไครเมีย และในน่านน้ำต่างๆ ของทะเลดำ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบอย่างสำคัญของการใช้ขีปนาวุธป้องกันโครงสร้างพื้นฐานที่ทรงความสำคัญยิ่งยวด”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://twitter.com/Podolyak_M/status/1731666848029036585?ref_src=twsrc%5Egoogle%7Ctwcamp%5Eserp%7Ctwgr%5Etweet)
“อัฟดิอิฟกาได้กลายเป็นป้อมค่ายที่มีการป้องกันอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่การสู้รบขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียครั้งที่แล้วในปี 2014 มันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งแห่งการต้านทานกองทหารรัสเซียของฝ่ายยูเครน” คอมเมนเตเตอร์รายหนึ่งที่ตั้งฐานอยู่ในมณฑลซานซี กล่าวในข้อเขียนซึ่งโพสต์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม “ไม่มีใครสามารถทำนายได้ล่วงหน้าว่า ในคราวนี้ทหารรัสเซียจะเปิดการโจมตีใส่ทหารยูเครนเป็นร้อยๆ ครั้ง โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของพวกเขาเอง”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://mil.sohu.com/a/740483563_121752850)
นักเขียนผู้นี้บอกว่า กองพลน้อยยานเกราะที่ 53 (53rd Mechanized Brigade) ของยูเครน กระทำความผิดพลาดอย่างฉกาจฉกรรจ์ถึงตายได้ทีเดียว จากการตัดสินใจล่าถอยออกจากเขตอุตสาหกรรมทางตอนใต้ของอัฟดิอิฟกา โดยที่ไม่ได้รอกองพลน้อยยานเกราะที่ 110 (110th Mechanized Brigade) ซึ่งทำให้ฝ่ายหลังก็ต้องถอยไปด้วย
เขาบอกว่า หลังจากสูญเสียเขตอุตสาหกรรมดังกล่าวไป ตอนนี้กองทัพยูเครนจะต้องสู้รบกับพวกนักรบรับจ้างกลุ่มวากเนอร์ในแบบ “สงครามในเมือง” ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คุ้นเคย เขากล่าวต่อไปว่าเวลานี้กองทหารรัสเซียยังสามารถเต็มเติมเสบียงอาหารและอาวุธต่างๆ ของพวกตนที่ร่อยหรอลงไปได้อย่างสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในอัฟดิอิฟกา ขณะที่ดูเหมือนว่าความสนับสนุนของฝ่ายตะวันตกที่ให้แก่เคียฟกำลังหดตัวลงเรื่อยๆ
นักเขียนซึ่งตั้งฐานอยู่ในมณฑลเจียงซีรายหนึ่งบอกว่า กองทหารรัสเซียยังจำเป็นที่จะต้องเพิ่มพูนทรัพยากรทางทหารด้านต่างๆ ของตนในอัฟดิอิฟกา ขณะเดียวกับที่พวกเขาสามารถที่จะเข้าโจมตีเมืองนี้ได้อย่างง่ายดายขึ้นมาก เมื่อเคลื่อนผ่านท้องทุ่งเปิดโล่งความยาวหลายกิโลเมตรที่นั่น เขาบอกว่ากองทหารรัสเซียยังจำเป็นที่จะต้องเพิ่มสมรรถนะในการสู้รบต่อสู้กับพวกปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้องของพวกเขา รวมทั้งนำเอาพวกอุปกรณ์รบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนพวกโดรนที่ทรงพลังมากขึ้นอีกเข้ามาใช้งาน
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://baijiahao.baidu.com/s?id=1784065517704887200&wfr=spider&for=pc)
ยังมีนักเขียนอีกรายหนึ่งที่บอกว่า ศึกอัฟดิอิฟกาจะไม่ใช่เพียงแค่เป็นตัวตัดสินผลลัพธ์ของสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและเสถียรภาพในทั่วทั้งยุโรปอีกด้วย
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://mil.sohu.com/a/741378533_121769698)
ทหารเสนารักษ์ของกองพลน้อยยานเกราะส่วนแยกที่ 47 ช่วยเหลือทหารยูเครนผู้ได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็วๆ นี้จากการสู้รบในเมืองอัฟดิอิฟกา ณ จุดพักทางการแพทย์แห่งหนึ่งในแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งไม่มีการเปิดเผยตำแหน่งชัดเจนว่าตั้งอยู่ที่ใด (ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2023)