สีจิ้นผิง ยืนยันกับผู้นำธุรกิจอเมริกา จีนพร้อมเป็นมิตรและหุ้นส่วนกับวอชิงตัน ขณะที่ปักกิ่งพยายามให้ความมั่นใจกับธุรกิจทั่วโลก และดึงดูดการลงทุนต่างชาติ
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวระหว่างงานเลี้ยงดินเนอร์ที่จัดคู่ขนานกับการประชุมซัมมิตของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่เมืองซานฟรานซิสโก, สหรัฐฯ เมื่อคืนวันพุธ (15 พ.ย.) ว่า การมองประเทศอื่นเป็นศัตรูและเป็นความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์สำคัญที่สุด จะทำให้ประเทศนั้นซึ่งมองเช่นนี้กำหนดนโยบายผิดพลาด ดำเนินการผิดๆ และนำไปสู่ผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์ และสำทับว่า โลกต้องการให้จีนและอเมริการ่วมมือกัน
สี ให้คำมั่นว่า ไม่ว่าแดนมังกรจะมีการพัฒนาไปถึงระดับใด จีนก็จะไม่มีการแสวงหาความเป็นเจ้าเที่ยวอำนาจครอบงำคนอื่นๆ หรือการมุ่งขยายอิทธิพล และจะไม่มีการบังคับให้ประเทศอื่นทำตามเจตนารมณ์ของตน รวมทั้งจะไม่ทำสงครามเย็นหรือสงครามร้อนกับชาติใดๆ พร้อมยืนยันว่า ไม่ว่าสถานการณ์โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แนวโน้มของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างจีนกับอเมริกาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
การแสดงความคิดเห็นเชิงบวกของสีเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับอเมริกา ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรในหมู่นักการเมืองของกรุงวอชิงตัน ถึงขั้นที่รัฐสภาสหรัฐมีความคิดเห็นไปในทางเอกฉันท์แบบไม่ปกติว่าจำเป็นต้องต่อต้านจีน
งานเลี้ยงอาหารค่ำครั้งนี้ มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ สีได้หารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน แบบตัวเป็นๆ เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี และทั้งคู่ตกลงลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ซึ่งรวมถึงการฟื้นฟูการสื่อสารสายด่วนทางการทหารระดับสูงขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง
ขณะที่บรรดาผู้นำธุรกิจอเมริกัน ต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นโดยตรงจากผู้นำจีน เกี่ยวกับการพิจารณาวิธีรับมือสถานการณ์ที่เศรษฐกิจจีนเวลานี้ชะลอตัว ขณะที่อเมริกาผลักดันการลดพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน รวมทั้งความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเพิ่มมาตรการความมั่นคงของปักกิ่งเอง
ทว่า การปราศรัยของสีดูจะมุ่งเน้นไปที่ชาวอเมริกันด้วย โดยผู้นำจีนบอกว่า ต้องการเชิญหนุ่มสาวอเมริกัน 50,000 คนไปจีนในโครงการแลกเปลี่ยนและการศึกษาในช่วง 5 ปีข้างหน้า และบอกว่าปักกิ่งพร้อมขยายความร่วมมือเรื่องการอนุรักษ์แพนดา แม้ไม่ได้ให้คำมั่นว่า จะจัดส่งหมีแพนดาตัวใหม่ๆ ไปให้อเมริกายืมอีก หลังจากตัวเดิมๆ ทยอยเดินทางกลับจีนจนเกือบหมดเนื่องจากอายุสัญญาสิ้นสุดลง
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ลำพังการปราศรัยของสีไม่มีแนวโน้มทำให้ความรู้สึกของธุรกิจอเมริกันที่มีต่อจีนเปลี่ยนแปลง
เจ้าหน้าที่อเมริกาและจีนมักกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจและการค้าระหว่างกันว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง ทว่า การเป็นปฏิปักษ์ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจทำให้บริษัทของทั้งสองประเทศตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลอีกฝ่าย
อย่างไรก็ดี มีผู้บริหารภาคธุรกิจของสหรัฐฯเข้าร่วมงานเลี้ยงคราวนี้กันคึกคัก อาทิ ทิม คุก จากแอปเปิล, ลอว์เรนซ์ ฟิงก์ จากแบล็กร็อก ฯลฯ ตลอดจนถึงจีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่อาวุโสอีกหลายคน ท่ามกลางเสียงค่อนแคะเรื่องค่าบัตรแพงลิบที่บริษัทต่างๆ ยอมจ่ายเพื่อให้ได้กระทบไหล่ผู้นำจีน
ไมค์ กัลเลเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการเฉพาะกิจด้านจีนของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นนักการเมืองสายเหยี่ยวแข็งกร้าวในเรื่องความสัมพันธ์กับจีน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ไร้สติ” การที่บริษัทอเมริกันยอมจ่ายเงินเป็นพันดอลลาร์เพื่อร่วมดินเนอร์กับรัฐบาลที่อเมริการะบุว่า ล้างเผ่าพันธุ์มุสลิมอุยกูร์
ในวันจันทร์ (13 พ.ย.) กัลเลเกอร์ยังข่มขู่คุกคามด้วยการส่งจดหมายถึงผู้จัดงานนี้คือ สภาธุรกิจอเมริกา-จีน และคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์อเมริกา-จีนแห่งชาติ เรียกร้องขอรายชื่อบุคคลและบริษัทที่ซื้อบัตรเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำครั้งนี้
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)
