xs
xsm
sm
md
lg

ประธานาธิบดีพม่าระบุประเทศจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้ากองทัพปราบทัพชาติพันธุ์โจมตีใกล้ชายแดนจีนไม่ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพที่ถ่ายและเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2023 โดยเครือข่ายข้อมูลข่าวสารโกก้าง (Kokang Information Network) ระบุว่าเป็นภาพสมาชิกกองกำลัง MNDAA ของโกก้าง กำลังเดินผ่านค่ายทหารพม่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ เมืองเล่าก์ก่าย ในภาคเหนือของรัฐชาน ที่พวกเขาบุกเข้ายึดภายหลังสู้รบกับทหารพม่า
ประธานาธิบดีพม่ากล่าวเตือนว่า ประเทศอาจแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ หากกองทัพไม่สามารถปราบปรามการก่อเหตุโจมตีของพวกกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ตามแนวชายแดนจีนที่ปะทุขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้ได้ สื่อของทางการรายงานวันพฤหัสบดี (9 พ.ย.)

คณะทหารผู้ปกครองพม่ากำลังถูกท้าทายอำนาจครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ก่อรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2021 จากการที่กองกำลังอาวุธต่างๆ ทั้งของกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยและกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ เพิ่มการโจมตีที่มั่นของฝ่ายทหารสูงขึ้นมาก ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันออกเฉียงใต้

“หากรัฐบาลไม่จัดการกับเหตุการณ์ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศก็จะแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ” ประธานาธิบดี มี้น ส่วย กล่าวในการประชุมของสภาความมั่นคงและการป้องกันประเทศเมื่อวันพุธ (8) ตามรายงานของ โกลบอล นิว ไลต์ ออฟ เมียนมา สื่อของทางการพม่า

“มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมปัญหานี้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศ และประชาชนทั้งหมดจำเป็นต้องให้การสนับสนุนกองทัพ” มี้น ส่วย ซึ่งเป็นนายทหารยศพลโทเกษียณอายุ กล่าว

กองทัพพม่ายืนกรานมานานหลายทศวรรษว่าเป็นสถาบันเดียวที่สามารถรวมประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์แห่งนี้เข้าไว้ด้วยกัน และใช้เหตุผลดังกล่าวในการยึดอำนาจและบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม

อย่างไรก็ตาม พม่าตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายมานับตั้งแต่รัฐประหารปี 2021 โดยที่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา กองกำลังอาวุธของ 3 ชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันในนามพันธมิตรภาคเหนือ ประกอบด้วย กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า (MNDAA) ซึ่งเป็นกองกำลังของชาวโกก้าง, กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง(TNLA) ของชาวตะอาง, และกองทัพอาระกัน (AA) ได้เปิด “ปฏิบัติการ 1027” บุกโจมตีที่มั่นของทหาร ตำรวจพม่า และกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ที่กระจายตัวอยู่ตามแนวทางหลวงหมายเลข 3 และ 34 ตั้งแต่ชายแดนรัฐชาน-จีน ลงมาจนถึงจุดเชื่อมต่อรัฐชานกับภาคมัณฑะเลย์
ทำให้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือด โดยที่กองกำลังเหล่านี้ระบุว่าสามารถยึดที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลได้หลายสิบแห่งในตอนเหนือของรัฐชาน รวมทั้งปิดกั้นเส้นทางการค้าสำคัญระหว่างพม่ากับจีน

ด้านรัฐบาลทหารพม่ายอมรับว่าสูญเสียการควบคุมศูนย์กลางการค้าสำคัญแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าของการสู้มาที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายวัน

ขณะที่ทางการจีนยืนยันในสัปดาห์นี้ว่ามีชาวจีนบาดเจ็บล้มตายจากกระสุนสู้รบที่ตกเข้ามาในฝั่งจีน กระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหยุดยิงทันที และดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

นอกจากนั้นทางกระทรวงได้เรียกร้องให้พลเมืองจีนอยู่ห่างจากพื้นที่ขัดแย้งรุนแรง และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปพม่า

เวลาเดียวกัน การสู้รบยังทำให้มีชาวบ้านจำนวนหลายหมื่นคนอพยพหลบหนีภัยสงคราม โดยตามรายงานของสื่อ Eleven Media Group ระบุว่า เมื่อวันวันอาทิตย์ (5) ฝ่ายบริหารของ พื้นที่ปกครองตนเองโกก้าง ร่วมกับมูลนิธิการกุศลและกลุ่มอาสาสมัครเพื่อสังคมของโกก้างและเมืองหลินชางของจีน ได้ร่วมกันเปิดพื้นที่พรมแดนรัฐชาน-จีน บริเวณหลักเขตแดนหมายเลข 125 ให้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยขณะนี้มีผู้ที่ต้องทิ้งบ้านเรือน ไร่นามาขอหลบภัยอยู่ในศูนย์แห่งนี้แล้วมากกว่า 12,000 คน

นอกจากนั้น เมื่อวันอังคาร (7) ทหารของพันธมิตรภาคเหนือ ซึ่งตั้งด่านอยู่บนถนนเชื่อมระหว่างบ้านหม่านลิชูหว่ากับบ้านปาซินจ่อ ในเขตเมืองเล่าก์ก่าย ได้ปล่อยให้คาราวานผู้อพยพจำนวนกว่า 700 คน ที่หลบหนีการสู้รบในเมืองเล่าก์ก่าย โดยเดินทางมากับยานพาหนะชนิดต่างๆ กว่า 200 คัน สามารถผ่านจุดตรวจแห่งนี้ให้เดินทางต่อไปลี้ภัยยังเมืองน้ำติ๊ด ในเขตพื้นที่ปกครองตนเองชนชาติว้า

ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) หรือที่เรียกกันว่ารัฐบาลเงา ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายต่อต้านคณะทหารที่จัดตั้งขึ้นโดยสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) แถลงในวันจันทร์ (6) ว่า กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ซึ่งเป็นกองกำลังกึ่งทหารใต้ร่มเงาของตน ได้ร่วมกับทหารของกองทัพเอกราชกะฉิ่น (KIA) เข้ายึดเมืองเกาลิน ในภาคสกาย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของพม่า ได้สำเร็จแล้วภายหลังสู้รบกับกองทหารรัฐบาลพม่าอยู่หลายวัน ถึงแม้มีเสียงทักท้วงจากผู้สังเกตการณ์นานาชาติว่า การรักษาตัวเมืองระดับอำเภอในภาคกลางของประเทศเช่นนี้เอาไว้ให้ได้ จะเป็นภารกิจที่ยากลำบากกว่าการเข้าตีมากมายนัก รวมทั้งมีรายงานว่าการสู้รบคราวนี้ยังทำให้มีผู้คนกว่า 50,000 คนกลายเป็นคนพลัดถิ่น จนสร้างความวิตกว่าจะเกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมขึ้นมา

(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี/ MGR Online)
กำลังโหลดความคิดเห็น