อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ เรียกร้องเหล่าชาติสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (จี7) อดกลั้นจากการแบ่งแยกโลกเข้าสู่กลุ่มก้อนพันธมิตรในรูปแบบสงครามเย็น ที่ต้องเลือกอยู่ร่วมกับสหรัฐฯ หรือจีน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ เมื่อบรรดาผู้นำตะวันตกพาดพิงถึงมอสโกกับปักกิ่ง ในถ้อยแถลงร่วมของพวกเขาในประเด็นเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเกียวโดนิวส์ ระหว่างที่พวกผู้นำของแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ พบปะกันในเมืองฮิโรชิมา เมื่อวันเสาร์ (20 พ.ค.) กูเตอร์เรส เรียกร้องให้มีการเจรจาและความร่วมมืออย่างกระตือรือร้นระหว่างจี7 กับจีน ในประเด็กโลกร้อนและการพัฒนา
"ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงแบ่งแยกโลกเป็น 2 ฝ่าย และมันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องสร้างสะพานเพื่อการเจรจาอย่างจริงจัง" เขากล่าว โดยเน้นย้ำเสียงเตือนที่โหมกระพือหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับสงครามเย็นระหว่างบรรดาชาติตะวันตกกับจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับตะวันตก ที่ดำดิ่งอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว โดยจีนตัดความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในประเด็นโลกร้อน ตอบโต้กรณีที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรอเมริกา ณ ขณะนั้นเดินทางเยือนไต้หวันในเดือนสิงหาคม และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขู่ใช้ปฏิบัติการทางทหาร หากว่าปักกิ่งเคลื่อนไหวเข้ายึดเกาะแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ กูเตอร์เรส แสดงความคิดเห็นต่อต้านการแบ่งแยกโลก แต่ถ้อยแถลงร่วมของจี7 เมื่อวันศุกร์ (19 พ.ค.) กลับยิ่งทำให้แตกแยกหนักขึ้นไปอีก โดยถ้อยแถลงของพวกเขามุ่งเน้นในประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวหารัสเซีย "ใช้โวหารนิวเคลียร์อย่างไร้ความรับผิดชอบ" และ "บั่นทำลายระบบควบคุมอาวุธ" พร้อมกับให้คำจำกัดความความเคลื่อนไหวของจีนในการปรับปรุงคลังแสงนิวเคลียร์ให้มีความทันสมัย ว่า "สร้างความกังวลแก่ความมั่นคงโลกและในระดับภูมิภาค"
ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียก็ประณามอย่างเผ็ดร้อนต่อกรณีสหราชอาณาจักรจัดหากระสุนยูเรเนียมด้อยสมรรถนะแก่ยูเครน และกองกำลังมอสโกได้ทำการโจมตีคลังแสงแห่งหนึ่งที่จัดเก็บกระสุนยูเรเนียมด้อยสมรรถนะที่จัดหาให้โดยสหราชอาณาจักร ในเมืองคเมลนิตสกี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งกลุ่มควันกัมมันตภาพรังสีฟุ้งกระจายมุ่งหน้าสู่ยุโรปตะวันตก ตามคำกล่าวอ้างของ นิโคไล ปาตรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซียในวันศุกร์ (19 พ.ค.)
เครมลินเคยเน้นก่อนหน้านี้ว่า สหราชอาณาจักรจะต้องรับผิดชอบต่อกรณีส่งมอบอาวุธดังกล่าวแก่ยูเครน
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)
