xs
xsm
sm
md
lg

‘สหรัฐฯ’ ไต่บันไดทำให้สถานการณ์ใน ‘ยูเครน’ บานปลายขยายตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เอ็ม เค ภัทรกุมาร ***


อาคารในเมืองมาเคเยฟกา (มาคีอีฟกา) แคว้นโดเนตสก์ ที่ถูกโจมตีโดยขีปนาวุธ HIMARS ผลิตในสหรัฐฯถึง 6 ลูก เมื่อเวลา 0.02 น.ย่างเข้าวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคมที่ผ่านมา สังหารทหารเกณฑ์รัสเซียเสียชีวิตไปอย่างน้อย 89 คน
US climbs escalation ladder in Ukraine
BY M. K. BHADRAKUMAR
04/01/2023

รายงานข่าวของฝ่ายรัสเซียมักอ้างอิงอย่างเปิดเผยอยู่บ่อยๆ ว่า ระบบขีปนาวุธ HIMARS ที่ก้าวหน้าล้ำยุคซึ่งสหรัฐฯ จัดส่งไปยังยูเครนนั้น ในความเป็นจริงก็ควบคุมใช้งานโดยบุคลากรสหรัฐฯ แน่นอนทีเดียวว่า การสังหารบุคลากรทางทหารอเมริกันใดๆ ในยูเครน จะต้องกลายเป็นพาดหัวข่าวในวงจรข่าวสารของสหรัฐฯ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงยิ่งให้แก่คณะบริหารไบเดน เท่าที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้ ยังไม่มีกรณีถุงบรรจุศพส่งจากยูเครนไปยังสหรัฐฯ เกิดขึ้นเลยแม้แต่กรณีเดียว บางทีพวกนายพลรัสเซียอาจจะติดตามเรียกร้องเรื่องนี้กันอยู่ก็เป็นได้

เรื่องที่ดูแน่นอนที่สุดในท่ามกลางความเป็นไปได้ทั้งหลายทั้งปวง ก็คือ ข้อความสำคัญที่รัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ ของรัสเซีย ส่งไปถึง แอนโทนี บลิงเคน ผู้ดำรงตำแหน่งเดียวกันกับเขาของฝ่ายอเมริกัน โดยผ่านทางรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของอิสราเอล อีลี โคเฮน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธโจมตีเมืองมาเคเยฟกา (Makeyevka) ในแคว้นโดเนตสก์ (Donetsk) เมื่อเวลา 00.02 น.ย่างเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2023 ซึ่งสังหารทหารเกณฑ์ชาวรัสเซียไป 89 คน
(เมืองมาเคเยฟกา เป็นชื่อเรียกในภาษารัสเซีย สำหรับภาษายูเครน เรียกว่า มาคีอีฟกา Makiivka ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Makiivka)

เคียฟอ้างว่า อาจจะมีทหารรัสเซียถึง 400 คนทีเดียวที่ถูกเข่นฆ่า ขณะที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงยอมรับซึ่งนานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งว่ามีผู้เสียชีวิตไปหลายสิบราย –และล่าสุดให้ตัวเลขที่ 83 คน ทั้งนี้น้อยครั้งนักที่มอสโกจะเผยแพร่ตัวเลขจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายในสงครามคราวนี้

ในการแถลงของรัสเซียหลายๆ ครั้งเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ มีการเน้นย้ำว่า ขีปนาวุธ HIMARS ที่ผลิตในสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นอาวุธในการโจมตีคราวนี้ ขณะที่สถานที่ซึ่งถูกเล่นงานเป็น “อาคารพักอาศัยชั่วคราวของทหาร” (โรงเรียนอาชีวศึกษาแห่งหนึ่งซึ่งถูกใช้เป็นโรงนอนชั่วคราวสำหรับทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเมื่อไม่นานมานี้ และมอสโกจัดส่งไปอยู่ที่นั่น)

เหตุการณ์ครั้งนี้จุดประกายให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับสถานะทางด้านการทหารของรัสเซีย ตลอดจนการตัดสินใจใช้โครงสร้างพื้นฐานฝ่ายพลเรือนมาเป็นที่พักของทหารเช่นนี้ และ รองประธานคนที่หนึ่งของกรมการเมืองใหญ่ฝ่ายทหารแห่งกองทัพรัสเซีย (The First Deputy Head of the Main Military-Political Department of the Russian Armed Forces) พลโทเซียร์เก เซฟรีอูคอฟ (Sergey Sevryukov) บอกกับพวกผู้สื่อข่าว ดังนี้:

“เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วในปัจจุบันว่า สาเหตุหลักของเรื่องที่เกิดขึ้นมาคราวนี้ คือ การเปิดเครื่องและการใช้เครื่องโทรศัพท์มือถือกันอย่างขนานใหญ่ของบุคลากรภายในพิสัยทำการของพวกเครื่องมือทำลายของฝ่ายข้าศึก ถึงแม้ว่าได้มีการสั่งห้ามแล้วก็ตามที ปัจจัยข้อนี้ทำให้ข้าศึกสามารถค้นพบทิศทาง และวินิจฉัยตำแหน่งพิกัดที่ตั้งของเหล่าทหารเพื่อส่งขีปนาวุธเข้าโจมตี เวลานี้กำลังมีการออกมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าสลดเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต”

เห็นชัดว่า เกมแห่งการประณามกล่าวโทษกันเริ่มต้นขึ้นแล้ว – อย่างที่แถลงว่า “สาเหตุหลัก” ของโศกนาฏกรรมคราวนี้คือพฤติกรรมไม่รักษาระเบียบวินัยของพวกทหารที่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะอยู่ที่แนวหน้าของสงคราม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้กำลังทำให้เกิดผลพวงต่อเนื่องต่างๆ ติดตามมา

แรงกดดดันของสาธารณชนอาจจะเพิ่มมากขึ้นในการเรียกร้องให้ใช้กำลังในระดับสูงสุดเพื่อยุติสงครามครั้งนี้ไปอย่างรวดเร็ว อันตรายของความบานปลายขยายตัวนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าหากมีการข้ามเส้นสีแดงห้ามล่วงละเมิดในการทำสงครามขึ้นมา ถึงแม้เส้นสีแดงเหล่านี้ไม่ได้มีการเขียนกัน ไม่ได้มีการพูดกันออกมาอย่างชัดเจน

เป็นสิ่งที่สามารถนึกเห็นกันได้อยู่แล้วว่า ระหว่างกองเสนาธิการใหญ่ของกองทัพรัสเซียในมอสโก กับเพนตากอนในวอชิงตันนั้น ต้องมีการทำความเข้าใจกันภายในขอบเขตของ “การลดทอนความขัดแย้งตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์” (strategic deconfliction) ในสไตล์เดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการคาดคำนวณอย่างผิดพลาด หรือหลีกเลี่ยงกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีการดำเนินชุดปฏิบัติการซึ่งอาจนำไปสู่การสู้รบขัดแย้งกันอย่างไม่จำเป็นขึ้นมา กองกำลังของสหรัฐฯ และของรัสเซียต่างก็ปฏิบัติการอยู่ในซีเรียมาเป็นแรมปี และสายการติดต่อสื่อสาร ซึ่งมีการใช้เป็นประจำทุกวัน ได้ช่วยเหลือให้ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงไม่เข้าสู่การสู้รบขัดแย้งกันโดยตรง

คราวนี้การโจมตีในช่วงปีใหม่ครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่คณะบริหารไบเดน กำลังพยายามที่จะจัดหาอาวุธมูลค่าหลายๆ พันล้านให้แก่ยูเครน โดยที่เวลาเดียวกันก็อ้างด้วยว่าการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะโดยตรงกับรัสเซีย ถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับท็อปเรื่องหนึ่งของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ข่าวกรองรัสเซียอาจจะมีไอเดียที่น่าเชื่อถือทีเดียวว่า ตำแหน่งที่ตั้งของพวกเจ้าหน้าที่นาโต้ซึ่งกำลังดำเนินปฏิบัติการต่างๆ ของยูเครนอยู่นั้นอยู่ที่ตรงไหน ทว่าจวบจนถึงบัดนี้พวกเขาเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ตกเป็นเป้าหมาย นี่คือเหตุผลที่ว่า การที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียตัดสินใจเมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่จะออกมาเน้นย้ำว่าขีปนาวุธ HIMARS ซึ่งสหรัฐฯ จัดส่งไปให้นั่นเอง คืออาวุธที่ใช้สังหารทหารรัสเซียไปหลายสิบคนในช่วงกลางคืนย่างเข้าปีใหม่ 1 มกราคม น่าจะก่อให้เกิดความกระวนกระวายไม่สบายใจขึ้นมาบ้างในวอชิงตัน

คำถามใหญ่ก็คือ มอสโกเวลานี้จะก้าวขึ้นบันไดแห่งการยกระดับสถานการณ์ให้บานปลายขยายตัว และเล็งเป้าหมายใส่พวกบุคลากรทางทหารอเมริกันซึ่งประจำอยู่ในยูเครนกันตรงๆ หรือไม่

แน่นอนทีเดียวว่า การสังหารบุคลากรทางทหารอเมริกันใดๆ ในยูเครน จะต้องกลายเป็นพาดหัวข่าวในวงจรข่าวสารของสหรัฐฯ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงยิ่งให้แก่คณะบริหารไบเดน เท่าที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้ ยังไม่มีกรณีถุงบรรจุศพส่งจากยูเครนไปยังสหรัฐฯ เกิดขึ้นเลยแม้แต่กรณีเดียว บางทีพวกนายพลรัสเซียอาจจะติดตามเรียกร้องเรื่องนี้กันอยู่ก็เป็นได้

รายงานข่าวต่างๆ ของฝ่ายรัสเซียมักอ้างอิงอย่างเปิดเผยอยู่บ่อยๆ ว่า ระบบขีปนาวุธ HIMARS ที่ก้าวหน้าล้ำยุคซึ่งสหรัฐฯ จัดส่งไปยังยูเครนนั้น ในความเป็นจริงก็ควบคุมใช้งานโดยบุคลากรสหรัฐฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ ของรัสเซียบอกกับสำนักข่าวทาสส์ (Tass news agency) เมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือช่วงสิ้นปี เอาไว้ดังนี้:

“มีความจงใจที่จะทำให้ระบอบปกครองเคียฟท่วมท้นไปด้วยพวกอาวุธที่ก้าวหน้าล้ำยุคที่สุด รวมไปถึงพวกอาวุธตัวอย่างที่ยังไม่ทันนำเข้าประจำการในประดากองทัพของฝ่ายตะวันตกด้วย โดยดูเหมือนว่าเพื่อจะได้ลองกันให้เห็นๆ ว่ามันจะใช้ได้ดีแค่ไหนในเงื่อนไขต่างๆ ของการสู้รบ ... เวลาเดียวกัน ฝ่ายตะวันตกก็กำลังพูดว่าพวกเขาปรารถนาที่จะ “ลอยตัวอยู่เหนือการวิวาท” และเห็นว่าการประจันหน้ากันโดยตรงระหว่างนาโต้ กับ รัสเซีย เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งนี่ก็คืออาการมือถือสากปากถือศีลอย่างบริสุทธิ์โดยแท้ ในเวลานี้ พวกชาติสมาชิกองค์การนาโต้ได้กลายเป็นผู้อยู่ในการสู้รบขัดแย้งนี้ในทางพฤตินัยไปเรียบร้อยแล้ว พวกบริษัทการทหารภาคเอกชนของตะวันตกและพวกผู้ฝึกสอนทหารของตะวันตก กำลังสู้รบโดยอยู่ข้างกองกำลังยูเครน พวกอเมริกันส่งผ่านข้อมูลดาวเทียมและข้อมูลการสอดแนมอื่นๆ ไปให้แก่กองบัญชาการฝ่ายยูเครนแทบจะในแบบเรียลไทม์ และเข้าร่วมในการวางแผนและการดำเนินการปฏิบัติการต่างๆ ทางทหาร”

ไม่ว่าวอชิงตัน หรือบรัสเซลส์ต่างไม่เคยพยายามที่จะปฏิเสธพวกข้อกล่าวหาแสนร้ายกาจของฝ่ายรัสเซียเหล่านี้เลย ตรงกันข้าม พวกเขาเลือกที่จะก้าวเดินไปอย่างระมัดระวังตัว เนื่องจากถ้าสาธารณชนเกิดอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็อาจจะเป็นอันตรายต่อการทำความตกลงกัน/การทำความเข้าใจกันในลักษณะของ “การลดทอนความขัดแย้งตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์” อันละเอียดอ่อน ซึ่งพวกเขาทำไว้กับกองเสนาธิการใหญ่ฝ่ายรัสเซีย

มันจึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์เลยถ้าหากวอชิงตันพยายามวางตัวเองให้ห่างออกมาจากการโจมตีอย่างขี้ขลาดตาขาวในวันขึ้นปีใหม่ในแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งทำให้ฝ่ายรัสเซียต้องหลั่งเลือด หนังสือพิมพ์ ไทมส์ ออฟ อิสราเอล (Times of Israel) รายงานข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวนักการทูตอิสราเอลที่ไม่ระบุนาม เผยว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม รัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน ของสหรัฐฯ ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ อีลี โคเฮน ผู้เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล และขอให้เขาช่วย “ส่งข้อความต่อไปถึง ลาฟรอฟ แต่ไม่ได้บอกว่าข้อความเหล่านั้นคืออะไร”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.timesofisrael.com/russias-lavrov-congratulates-new-israeli-fm-cohen-in-phone-call-that-may-anger-kyiv/)

ต่อมา จากบันทึกย่อของฝ่ายรัสเซียว่าด้วยการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง โคเฮน กับ ลาฟรอฟ เมื่อวันที่ 3 มกราคม มีการอ้างอิงถึงการที่ ลาฟรอฟ “แจ้งให้รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลทราบเกี่ยวกับแง่มุมบางแง่มุมของสถานการณ์ในยูเครนภายในบริบทของการปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซีย”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://mid.ru/ru/foreign_policy/news/1846337/)

บางที ลาฟรอฟ อาจจะแสดงความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับเรื่องที่ บลิงเคน เสแสร้งแกล้งทำเป็นว่า สหรัฐฯ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสังหารทหารรัสเซีย 89 คน ข้อเท็จจริงที่ว่ามีขีปนาวุธ HIMARS ที่ร้ายแรงยิ่งจำนวน 6 ลูกทีเดียวถูกยิงต่อเนื่องกันในเวลาอันรวดเร็วเข้าใส่เป้าหมายแห่งเดียวกัน ณ เวลา 0.02 น.ของวันขึ้นปีใหม่ ย่อมแสดงให้เห็นว่าฝ่ายยูเครน และ/หรือพวกอาจารย์ที่ปรึกษาชาวตะวันตกของพวกเขามีความแน่ใจในระดับสูงว่ามันจะสร้างความเสียหายขึ้นมาในระดับสูงสุด

ความแน่นอนเช่นนี้ส่อแสดงให้เห็นถึงการได้รับข่าวกรองยืนยันกันในระดับเรียลไทม์ และก็ส่อแสดงให้เห็นว่าฝ่ายอเมริกันมีส่วนร่วมโดยตรงในการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมที่พุ่งเป้าหมายโจมตีงานฉลองปีใหม่ของพวกทหารเกณฑ์รัสเซีย ในจังหวะเวลาที่การชวนกันดื่มฉลองปีใหม่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นมา แน่นอนทีเดียวว่า การกระหน่ำตีอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนในรัสเซียเพื่อความประสงค์ในการต่อต้านคัดค้านปูติน คือวัตถุประสงค์สำคัญที่สุดประการหนึ่งของฝ่ายอเมริกันในสงครามคราวนี้

เวลานี้เราจึงกำลังเข้าสู่พื้นที่สีเทา พึงคาดหมายว่ากองกำลังรัสเซียจะต้องดำเนินการ “โจมตีด้วยความแม่นยำสูง” เอาบ้างเหมือนกัน ในเวลาไม่ช้าไม่นานนักหรอก มันจะปรากฏออกมาให้เห็น อย่างที่พูดกันว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง

เอ็ม.เค.ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 29 ปี ในตำแหน่งต่างๆ เป็นต้นว่า เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอุซเบกิสถาน (ปี 1995-1998) และเอกอัครราชทูตอินเดียประจำตุรกี (ปี 1998-2001) ปัจจุบันเขาเขียนอยู่ในบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline)

ข้อเขียนชิ้นนี้มาจากบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline) ดูต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ https://www.indianpunchline.com/us-climbs-escalation-ladder-in-ukraine/


กำลังโหลดความคิดเห็น