อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศตัวลงสู้ศึกชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวในปี 2024 อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (15 พ.ย.) เพียง 1 สัปดาห์หลังจากที่พรรครีพับลิกันเพิ่งจะทำผลงานในศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ได้ย่ำแย่กว่าที่คาดหมาย
ทรัมป์ วัย 76 ปี ซึ่งหวังจะได้ทำศึก “รีแมตช์” กับ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ได้เปิดการแถลงข่าวถ่ายทอดสดจากห้องบอลรูมภายในรีสอร์ตหรู มาร์-อา-ลาโก ในรัฐฟลอริดา ซึ่งมีการประดับประดาธงชาติสหรัฐฯ และมีกลุ่มผู้สนับสนุนหลายร้อยคนเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
“เพื่อที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง วันนี้ผมขอประกาศตัวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา” ทรัมป์ กล่าว
ในวันเดียวกันนั้น ผู้ช่วย ทรัมป์ ได้ยื่นเอกสารต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐบาลสหรัฐฯ (US Federal Election Commission) พร้อมกับตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุดที่ใช้ชื่อว่า ‘Donald J. Trump for President 2024’
คำปราศรัยของ ทรัมป์ ส่วนใหญ่เน้นวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลไบเดน และอวดอ้างไปถึงความสำเร็จเชิงนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลของเขาได้ทำไว้
“2 ปีที่แล้วเราเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ และเร็วๆ นี้เราก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ทรัมป์ กล่าว
แม้ศึกเลือกตั้งไพรแมรีในระดับรัฐนั้นกว่าจะเกิดขึ้นก็อีกปีกว่าๆ แต่ดูเหมือน ทรัมป์ จะชิงประกาศตัวก่อนใครเพื่อข่มขวัญผู้สมัครคนอื่นๆ ที่คิดจะมาเป็นคู่แข่งชิงตัวแทนพรรครีพับลิกัน เช่น รอน เดอแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา หรือแม้กระทั่ง ไมค์ เพนซ์ ซึ่งเป็นอดีตรองประธานาธิบดีของเขาเอง
ทรัมป์ เข้ามามีบทบาทมากพอสมควรในศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของการแสวงหาและโปรโมตตัวผู้สมัครพรรครีพับลิกันที่ช่วยสนับสนุนคำกล่าวอ้างปลอมๆ ของเขาที่ว่าตนเองถูกโกงชัยชนะในศึกเลือกตั้งปี 2020 กระนั้นก็ตาม ผู้สมัครหลายคนที่ ทรัมป์ หนุนหลังกลับแพ้เลือกตั้งในรัฐสำคัญๆ ซึ่งทำให้แกนนำพรรครีพับลิกันบางคนออกมากล่าวโทษ ทรัมป์ ว่าโปรโมตผู้สมัครที่ "อ่อนแอ" จนเป็นเหตุให้พรรคพลาดที่จะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา
สำหรับผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีแนวโน้มว่าพรรครีพับลิกันจะคว้าชัยชนะได้ครองเสียงข้างมากแค่ปริ่มๆ น้ำ
การประกาศตัวลงชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ ของ ทรัมป์ มีขึ้นในขณะที่ตัวเขาเองก็ยังเผชิญปัญหาหลายด้าน ทั้งถูกสอบสวนเรื่องการครอบครองเอกสารของรัฐบาลหลังจากที่พ้นตำแหน่งประธานาธิบดี และยังถูกสภาคองเกรสสอบสวนจากกรณีที่ยุยงให้ผู้สนับสนุนบุกเข้าไปก่อจลาจลในอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021
ทรัมป์ อ้างว่ากระบวนการสอบสวนเหล่านี้ “มีเหตุจูงใจทางการเมือง” และยืนยันว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไรทั้งสิ้น
ผลสำรวจเอ็กซิตโพลโดย Edison Research พบว่า ชาวอเมริกันที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกลางเทอม 7 ใน 10 คนมองว่า ไบเดน “ไม่สมควร” ที่จะลงสมัครประธานาธิบดีอีกสมัย ขณะที่ 6 ใน 10 คนตอบว่าพวกเขามีมุมมองที่ไม่ค่อยดีต่อ ทรัมป์
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์อ้างแหล่งข่าวที่ระบุว่า ทรัมป์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในงานแต่งงานของลูกสาวคนรอง “ทิฟฟานี ทรัมป์” ซึ่งจัดขึ้นที่ มาร์-อา-ลาโก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อโน้มน้าวให้ “อิวานกา” ลูกสาวคนโต และ “เจเร็ด คุชเนอร์” ลูกเขยคนโปรดกลับมาขึ้นเวทีหาเสียงพร้อมกับตนเองอีกครั้งในวันที่ประกาศชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี แต่ปรากฏว่าทั้งลูกสาวและลูกเขย “ไม่เอาด้วย”
“ทรัมป์ คิดว่าเขาจะกล่อม อิวานกา ให้กลับมาช่วยเขาหาเสียงได้สำเร็จ เพราะเธอเป็นคนที่บรรดาแฟนคลับอยากได้ยินคำปราศรัยมากที่สุดรองจาก ทรัมป์... แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ใจอ่อน เช่นเดียวกับ เจเร็ด” แหล่งข่าววงในคนหนึ่งเผย
“พวกเขาทั้ง 2 คนรู้สึกว่าตัวเองเดือดร้อนมามากแล้วจากการทำงานในวอชิงตัน และไม่ต้องการพาตัวเองและลูกๆ กลับไปสู่แคมเปญหาเสียงที่ขมขื่นอีก”
แหล่งข่าวอีกคนเผยว่า ท่าทีแข็งขืนของ อิวานกา และจาเร็ด คุชเนอร์ ได้ “ก่อความตึงเครียดหลังม่าน” ขึ้น เนื่องจากลูกชายอีก 2 คนของ ทรัมป์ คือ โดนัลด์ จูเนียร์ และอีริค ต่างแสดงท่าทีว่าพร้อมสนับสนุนการลงชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวอีกครั้งของบิดา
ที่มา : รอยเตอร์, นิวยอร์กโพสต์