ทำเนียบขาวประกาศกร้าวเมื่อวันจันทร์ (17 ต.ค.) สหรัฐฯ จะหาทางลากรัสเซียรับผิดชอบต่อ "อาชญากรรมสงคราม" ที่ก่อขึ้น หลังจากมอสโกใช้โดรนโจมตีเมืองต่างๆ ของยูเครน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 รายในอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่งในกรุงเคียฟ ขณะที่สหภาพยุโรปเรียกร้องคว่ำบาตรอิหร่าน โทษฐานเป็นผู้จัดหาโดรนพลีชีพให้แก่รัสเซีย
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวปราศรัยผ่านวิดีโอในช่วงเย็นวันจันทร์ (17 ต.ค.) เปิดเผยว่ามีการโจมตีเพิ่มเติมอีกหลังจากนั้น "ตอนนี้รัสเซียได้ทำการโจมตีด้วยโดรนรอบใหม่ และมีโดรนจำนวนหนึ่งถูกยิงตก"
สำนักข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์ของยูเครน รายงานว่าพวกผู้ใช้เทเลแกรมแจ้งข่าวว่า มีเหตุระเบิดในเมืองฟาสทิฟ ซึ่งตั้งอยู่แถบชานเมืองกรุงเคียฟ เช่นเดียวกับในโอเดซา เมืองท่าทางภาคใต้ของประเทศ
ขณะเดียวกัน กองกำลังรัสเซียยังเล็งเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานทั่วยูเครน ในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอก 2 ในรอบ 1 สัปดาห์ ซึ่งคราวนี้ก็เช่นเดียวกับครั้งแรก ปฏิบัติการโจมตีเกิดขึ้นในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังออกไปทำงานและเด็กๆกำลังเดินทางไปโรงเรียน
ทหารยูเครนยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าในความพยายามสอยโดรนให้ร่วง หลังเกิดระเบิดสั่นสะเทือนกรุงเคียฟในช่วงเช้าวันจันทร์ (17 ต.ค.) และสามารถพบเห็นจรวดต่อต้านอากาศยานพุ่งลิ่วเป็นทางยาวขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเช้า ตามด้วยเสียงระเบิดตูมสนั่นและเปลวไฟสีส้ม สถานการณ์ที่น่าหวาดผวาซึ่งกระตุ้นให้พวกชาวบ้านรุดหาที่กำบัง
คารีน ฌอง-ปิแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ทำเนียบขาวขอประณามอย่างรุนแรงต่อการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียในวันนี้ และบอกว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการเดินหน้าพิสูจน์ถึงความโหดเหี้ยมของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
ในการพาดพิงถึงแพกเกจมอบความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนรอบใหม่อีก 725 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (14 ต.ค.) เธอกล่าวว่า "เราจะยังคงยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชนชาวยูเครนตราบเท่าที่พวกเขายอมรับ เราจะเดินหน้ากำหนดบทลงโทษที่รัสเซียต้องชดใช้ และทำให้พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อาชญากรรมสงครามของพวกเขา"
ผู้หญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งเป็นหนึ่งใน 4 คนที่เสียชีวิตในเหตุโจมตีอาคารที่พักอาศัย จากการเปิดเผยของวิตาลี คลิตช์โก นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ ส่วน เดนีส โมนาตีร์สกีย์ รัฐมนตรีมหาดไทยของยูเครน บอกว่ามีผู้เสียชีวิตในเมืองอื่นๆ ด้วย แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ยูเครนบอกว่าการโจมตีต่างๆ เหล่านั้นลงมือโดยใช้ "โดรนพลีชีพ" ที่ผลิตโดยอิหร่าน ซึ่งบินเข้าหาเป้าหมายแล้วจุดชนวนระเบิด ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส เห็นตรงกันว่าการที่อิหร่านจัดหาโดรนมอบแก่รัสเซีย อาจเป็นการละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่รับรองข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับชาติมหาอำนาจในปี 2015
อิหร่านในวันจันทร์ (17 ต.ค.) ปฏิเสธว่าพวกเขาไม่ได้จัดหาโดรนแก่รัสเซีย ส่วนเครมลินไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ทางสหรัฐฯ กล่าวหาเตหะรานโกหก ที่บอกว่ารัสเซียไม่ได้ใช้โดรนของอิหร่านในยูเครน
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามขอความคิดเห็น ทางคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติ เน้นย้ำถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยรัฐบาลเมื่อวันศุกร์ (14 ต.ค.) ว่าพวกเขาสนับสนุนการยึดมั่นในกฎบัตรแห่งสหประชาชาติและความพยายามของสหประชาชาติในการหาทางออกความขัดแย้งในยูเครนด้วยสันติวิธี
รัฐมนตรีต่างประเทศของหลายชาติในอียู ในวันจันทร์ (17 ต.ค.) เรียกร้องให้คว่ำบาตรอิหร่าน ลงโทษกรณีจัดหาขนย้ายโดรนมอบแก่รัสเซีย สอดคล้องกับคำเตือนของสหัฐฯ ที่ระบุว่าจะดำเนินการกับบริษัททั้งหลายและประเทศต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับอิหร่านในโครงการโดรน หลังจากเชื่อว่ารัสเซียใช้โดรนกามิกาเซ่นำเข้าถล่มกรุงเคียฟ
กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยว่าพวกเขาได้ปฏิบัติการโจมตีขนานใหญ่ใส่เป้าหมายด้านการทหารและโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานทั่วยุโรป โดยใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง
รอยเตอร์อ้างว่าพบเห็นเศษชิ้นส่วนโดรนที่ถูกใช้ในการโจมตีมีข้อความว่า "สำหรับ เบลโกรอด" ดูเหมือนเป็นการพาดพิงถึงเหตุยูเครนยิงปืนใหญ่ใส่แคว้นตามแนวชายแดนแห่งหนึ่งของรัสเซีย
กองทัพยูเครนเผยว่า สามารถยิงทำลายโดรนรัสเซีย 37 ลำนับตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ (16 ต.ค.) หรือราว 85% ที่ถูกใช้ในการโจมตี อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ไม่ยืนยันข้อเท็จจริงของคำกล่าวอ้างดังกล่าว
เจ้าหน้าที่เผยว่าโดรนโจมตีลำหนึ่งพุ่งใส่สถานีขนส่งทางทะเลเอเวรี ในมีโคลาอีฟ เมืองท่าทางใต้ของยูเครนในช่วงกลางคืนวันอาทิตย์ (16 ต.ค.) ก่อความเสียหายแก่ถังจัดเก็บน้ำมัน น้ำมันดอกทานตะวัน และทำน้ำมันรั่วไหลไฟลุกไหม้
รัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้เล็งเป้าหมายเล่นงานพลเรือน ในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร" ในยูเครน ซึ่งเปิดฉากมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ในนั้นรวมถึงความเคลื่อนไหวผนวกดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
(ที่มา : รอยเตอร์)