คณะบริหารของไบเดน กำหนดให้การเอาชนะจีนเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด โดยมองว่าปักกิ่งเป็นศัตรูคู่แข่งขันระดับโลกเพียงหนึ่งเดียวของอเมริกา ถึงแม้ยังต้องพยายามควบคุมรัสเซียที่เป็นชาติ “อันตราย” ด้วยก็ตาม ทั้งนี้ ตามเอกสาร “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งตัวอย่างเป็นทางการในวันพุธ (12 ต.ค.)
ระหว่างงานเปิดตัวเอกสารสำคัญชิ้นนี้ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยจอห์นทาวน์ ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันพุธ (12) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่า ยุคหลังสงครามเย็นได้สิ้นสุดลงแล้ว และพวกชาติมหาอำนาจรายสำคัญๆ กำลังแข่งขันกันในการกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ฉบับนี้ระบุว่า ทศวรรษ 2020 จะเป็น “ทศวรรษที่ตัดสินชี้ขาดสำหรับอเมริกาและสำหรับโลก” ในแง่การลดการสู้รบขัดแย้งกัน การส่งเสริมประชาธิปไตยเพื่อเอาชนะระบอบเผด็จการ และการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“อเมริกาจะให้ความสำคัญอันดับแรกแก่การรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างคงทนถาวรที่มีเหนือสาธารณรัฐประชาชนจีน ควบคู่ไปกับการขีดวงเหนี่ยวรั้งรัสเซียที่ยังคงอันตรายอย่างมาก”
รัสเซียของ วลาดิมีร์ ปูติน “ตั้งท่าว่าเป็นภัยคุกคามเฉพาะหน้าต่อระบบระหว่างประเทศที่เสรีและเปิดกว้าง กำลังเยาะเย้ยอย่างไม่ยั้งคิดต่อกฎเกณฑ์พื้นฐานต่างๆ ของระเบียบระหว่างประเทศทุกวันนี้ ดังที่แสดงให้เห็นในสงครามก้าวร้าวรุกรานอันทารุณโหดเหี้ยมที่พวกเขากระทำกับยูเครน” เอกสารนี้กล่าวต่อ
ส่วนจีนนั้น “ในทางตรงกันข้าม คือคู่แข่งขันเพียงรายเดียว (ของสหรัฐฯ) ทั้งในเรื่องเจตนารมณ์ที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระเบียบระหว่างประเทศเสียใหม่ และในเรื่องการเพิ่มพูนอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ การทูต การทหาร และเทคโนโลยี เพื่อผลักดันเดินหน้าวัตถุประสงค์ดังกล่าว”
การเปิดตัวเอกสารยุทธศาสตร์ฉบับนี้ต้องล่าช้ามาหลายเดือน เนื่องจากสงครามยูเครนที่ทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ใช้เวลาส่วนใหญ่ในปีนี้กับการต่อต้านรัสเซีย รวมทั้งจัดส่งอาวุธมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้เคียฟ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ซัลลิแวนยืนยันว่า ยังคงสอดคล้องกับคำชี้แนะทางนโยบายฉบับชั่วคราวซึ่งจัดทำออกมาหลังจากเขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2021
ซัลลิแวนกล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวก่อนแถลงข่าวคราวนี้ว่า ไม่เชื่อว่าสงครามยูเครนจะทำให้แนวพินิจพิจารณานโยบายการต่างประเทศของไบเดนเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยหลักการ แต่เชื่อว่ามีส่วนเพิ่มสีสันให้แก่องค์ประกอบหลักๆ ในนโยบายของอเมริกา โดยที่มีการเน้นหนักเรื่องพันธมิตร ความสำคัญของการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่การร่วมมือกันในโลกประชาธิปไตย รวมทั้งการยืนหยัดสนับสนุนชาติประชาธิปไตยอื่นๆ ตลอดจนค่านิยมทางประชาธิปไตย
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ยังระบุว่า อเมริกายินดีร่วมมือกับคู่แข่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน ขณะที่ทีมงานของไบเดนยังคงเจรจากับจีน ซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนรายใหญ่ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ถือเป็นความท้าทายการดำรงอยู่ของโลกในขณะนี้
กระนั้น ทำเนียบขาวย้ำความเสี่ยงจากจีนโดยเตือนเกี่ยวกับความคืบหน้าอย่างรวดเร็วของปักกิ่งในด้านเทคโนโลยีที่มีเป้าหมายในการหล่อหลอมระเบียบโลกใหม่เพื่อสนับสนุนรูปแบบเผด็จการ
และแม้ปักกิ่งปฏิเสธตลอดมาว่า ไม่ได้ต้องการเป็นเจ้าโลก แต่ยุทธศาสตร์ของอเมริการะบุว่า จีนมีความทะเยอทะยานที่จะสร้างเขตอิทธิพลในอินโด-แปซิฟิก และก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจชั้นนำของโลก
ทำเนียบขาวยังเชื่อมโยงการผงาดขึ้นมาของจีนกับการประกาศของไบเดนในการให้ความสำคัญกับชนชั้นกลางภายในประเทศเป็นอันดับแรก โดยบอกว่า ปักกิ่งพยายามทำให้โลกต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจจีนควบคู่กับจำกัดการเข้าถึงตลาดของตนเองที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ เรียกร้องให้มีการลงทุนขนาดใหญ่ในอเมริกา แต่ก็สำทับว่า อเมริกาต้องพยายามอยู่ร่วมกับจีน “อย่างสันติ” และจัดการการแข่งขัน “อย่างมีความรับผิดชอบ”
ซัลลิแวนขานรับว่า อเมริกาไม่ต้องการทำให้การแข่งขันกลายเป็นการเผชิญหน้าหรือสงครามเย็นครั้งใหม่ และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับแต่ละประเทศเพียงเพราะมองว่าแต่ละประเทศคือสมรภูมิของสงครามตัวแทน
ทางด้าน เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวตามวาระปกติเมื่อวันพฤหัสบดีว่า จีนกับสหรัฐฯ “แบกรับความรับผิดชอบในการธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของโลก และส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
“สหรัฐฯ ควรที่จะยึดมั่นในหลักการของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสนติ และการร่วมมือกันแบบให้ทุกฝ่ายเป็นผู้ชนะ ... และทำงานกับจีนเพื่อนำเอาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับคืนสู่เส้นทางที่เข้มแข็งและมั่นคง
การเปิดเผยยุทธศาสตร์ครั้งนี้ยังเกิดขึ้นขณะที่ไบเดนประกาศว่า จะประเมินความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกาใหม่ หลังจากริยาดร่วมกับกลุ่มโอเปกพลัส ลดการผลิตน้ำมันซึ่งทำให้รัสเซียได้ประโยชน์ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตสำคัญ อีกทั้งยังทำให้ราคาพลังงงานในอเมริกาแพงขึ้นขณะที่ใกล้ถึงกำหนดเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในอีกไม่กี่สัปดาห์
ยุทธศาสตร์ของอเมริกายังเรียกร้องให้ตะวันออกกลางปรองดองกันมากขึ้นซึ่งจะลด “ความต้องการทรัพยากร” ระยะยาวของอเมริกาที่ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาต้องให้การสนับสนุนด้านการรักษาความปลอดภัยแก่ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
ยุทธศาสตร์ฉบับล่าสุดยอมรับว่า มีความจำเป็นในการจัดการข้อบกพร่องด้านประชาธิปไตยภายในประเทศ ตัวอย่างเช่นตอนที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2020 และเหล่าผู้สนับสนุนบุกอาคารรัฐสภาที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต
(ที่มา : เอเอฟพี)