กองกำลังรัสเซียยิงถล่มทำลายสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งที่เชื่อมเมืองซีวีโรโดเนตสก์กับเมืองอื่นๆ ตัดขาดความเป็นไปได้ของเส้นทางอพยพพลเรือน จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในวันอาทิตย์ (12 มิ.ย.) ในขณะที่ยูเครนส่งเสียงวินวอนซ้ำอีกรอบขอความช่วยเหลือด้านอาวุธหนักเพิ่มเติม หลังจากพวกเขาใช้อาวุธและกระสุนยุคโซเวียตจน ‘หมดคลังแสง’ แล้ว
ซีวีโรโดเนตสก์กลายเป็นศูนย์กลางการสู้รบสำหรับควบคุมภูมิภาคดอนบาส ทางภาคตะวันออกของยูเครน หลายพื้นที่ของเมืองถูกทำลายล้างในเหตุสู้รบนองเลือดที่สุดจุดหนึ่ง นับตั้งแต่เครมลินเปิดฉากรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์
"เป้าหมายหลักทางยุทธศาสตร์ของผู้รุกรานไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขากำลังกดดันในซีวีโรโดเนตสก์ กำลังมีการสู้รบหนักหน่วงที่นั่น ในทุกๆ ตารางเมตร" ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนกล่าวปราศรัยผ่านวิดีโอ พร้อมระบุว่า กองทัพรัสเซียพยายามประจำการกองกำลังสำรองเข้าไปยังภูมิภาคดอนบาส
เซอร์ฮีย์ ไกได ผู้ว่าการแคว้นลูฮันสก์ กล่าวในวันอาทิตย์ (12 มิ.ย.) ว่า กองกำลังยูเครนและรัสเซียยังคงกำลังสู้รบไล่ล่ากันไปตามถนนทีละสายในซีวีโรโดเนตสก์ เขาบอกว่าขณะที่กองกำลังรัสเซียยึดพื้นที่เกือบทั้งหมดของเมืองเอาไว้ได้ แต่กองกำลังยูเครนยังคงควบคุมพื้นที่อุตสาหกรรม รวมทั้งโรงงานเคมีย่านหนึ่ง ซึ่งมีพลเรือนหลายร้อยคนเข้าไปหลบภัยพักพิง
อย่างไรก็ตาม รัสเซียทำลายสะพานแห่งหนึ่งที่ทอดข้ามแม่น้ำซิเวอร์สกี โดเนตส์ ที่เชื่อมเมืองซีวีโรโดเนตสก์ กับเมืองลีซีแคนสก์ ที่อยู่ติดกัน ในขณะที่ก่อนหน้านี้มันเป็นสะพานเพียงแห่งเดียวจากทั้งหมด 3 แห่งที่ยังคงใช้งานได้อยู่
"ถ้าการยิงถล่มรอบใหม่ทำสะพานพังถล่ม เมืองจะถูดตัดขาดอย่างแท้จริง จะไม่มีทางใช้ยานพาหนะออกจากเมืองซีวีโรโดเนตสก์" ไกไดกล่าว พร้อมเน้นว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อตกลงหยุดยิงและข้อตกลงแนวกันชนสำหรับอพยพ
ด้านหัวหน้าฝ่ายบริหารของซีวีโรโดเนตสก์บอกว่ามีแค่ราวๆ 1 ใน 3 ของเมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลงยูเครน ส่วนอีก 2 ใน 3 ตกอยู่ในเงื้อมมือของรัสเซียแล้ว "กองกำลังของเรากำลังยืนหยัดในแนวป้องกันอย่างหนักแน่น"
หลังจากล่าถอยจากเป้าหมายในเบื้องต้น ตามหลังเปิดฉากรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ รัสเซียเบี่ยงความสนใจไปที่การยกระดับควบคุมภูมิภาคดอนบาส ดินแดนที่บางส่วนอยู่ภายใต้การควบคุมของกบฏแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซียมาตั้งแต่ปี 2014
ซีวีโรโดเนตสก์ คือดินแดนสุดท้ายในแคว้นลูฮันสก์ ที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครน และการล่มสลายของมันจะเปิดทางให้รัสเซียก้าวหน้าครั้งใหญ่ใกล้บรรลุหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขา ในสิ่งที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เรียกว่าเป็น "ปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร"
ในที่อื่นๆ ตามรายงานข่าวของอินเตอร์แฟ็กซ์ ระบุว่า กองกำลังรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธร่อน “คาลิบร์” หลายลูกเข้าโจมตีคลังสินค้าใหญ่ที่ใช้เก็บอาวุธจากสหรัฐฯ และยุโรป ในแคว้นเตอร์โนปิล ทางภาคตะวันตกของยูเครน นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่า ฝ่ายรัสเซียยังยิงเครื่องบินขับไล่ ซู-25 ของยูเครนจำนวน 3 ลำ ตกที่ใกล้ๆ เมืองโดเนตสก์ และเมืองคาร์คีฟ ในภาคตะวันออกของยูเครน
ด้าน โวโลดีมีร์ ทรุช ผู้ว่าการของแคว้นเทอร์โนปิล โพสต์ลงเฟซบุ๊กในวันอาทิตย์ (12 มิ.ย.) เช่นกันว่า มีขีปนาวุธ 4 ลูกโจมตีใส่เมืองชอร์ตคิฟ ของแคว้น โดยยิงมาจากทะเลดำเมื่อเวลา 19.46 น.วันเสาร์ (11 มิ.ย.) ซึ่งอานุภาพของมันทำลายสิ่งปลูกสร้างทางทหารแห่งหนึ่งไปส่วนหนึ่ง และอาคารที่พักอาศัยหลายหลัง ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 22 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่งอ้างว่า ตรงนั้นไม่ได้มีการเก็บอาวุธเอาไว้แต่อย่างใด
มอสโกต่อว่าสหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ อย่างรุนแรงสำหรับการจัดส่งอาวุธไปให้ยูเครน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวก่อนหน้านี้ในเดือนนี้ว่า รัสเซียจะโจมตีใส่เป้าหมายใหม่ๆ ถ้าฝ่ายตะวันตกจัดส่งอาวุธพวกลูกจรวดและขีปนาวุธพิสัยทำการไกลขึ้นไปให้ยูเครน สำหรับใช้กับระบบจรวดหลายลำกล้องเคลื่อนที่ได้คล่องตัวและมีความแม่นยำสูง ที่กำลังทยอยส่งมอบให้เคียฟ
พวกผู้นำยูเครนนั้นยังคงเรียกร้องไม่หยุดในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมา ให้ประเทศตะวันตกจัดส่งอาวุธหนักไปให้ ขณะที่กองกำลังรัสเซียถล่มโจมตีหนักใส่ภาคตะวันออกของประเทศด้วยจรวดและปืนใหญ่ และในวันอาทิตย์ (12 มิ.ย.) เสนาธิการทหารยูเครนโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า พล.อ.วาเลรีย์ ซาลูซนีย์ ผู้บัญชาการทหารบกยูเครน ได้พูดคุยกับ พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ และเน้นย้ำคำร้องขอระบบปืนใหญ่หนักเพิ่มเติม
เสนาธิการทหารยูเครนระบุว่า กองกำลังรัสเซียยิงปืนครกและปืนใหญ่ถล่มทางใต้และทางตะวันตกเฉียใต้ของซีวีโรโดเนตสก์ แต่กองกำลังยูเครนสามารถสกัดความพยายามของรัสเซียในการรุกคืบสู่บางชุมชน
สถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ระบุว่า กองกำลังฝ่ายยูเครนพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความหยุ่นตัวสามารถปรับเปลี่ยนรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวมากกว่าที่คาดหมายกันเอาไว้ แต่พวกเขาใช้อาวุธและเครื่องกระสุนต่างๆ ในยุคโซเวียตที่พวกเขาเก็บสะสมเอาไว้จนเกือบหมดสิ้นแล้ว และจำเป็นต้องได้รับความสนับสนุนจากฝ่ายตะวันตกอย่างสม่ำเสมอ
ในวันอาทิตย์ (12 มิ.ย.) เช่นกัน ผู้นำแคว้นโดเนตสก์ ในภูมิภาคดอนบาส ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของกบฏแบ่งแยกดินแดนฝักใฝ่รัสเซีย บอกว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะอภัยโทษให้พลเมืองสหราชอาณาจักร 2 คน ที่ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังถูกจับขณะร่วมสู้รบให้ยูเครน
ศาลในโดเนตสก์ เมื่อวันพฤหัสบดี (9 มิ.ย.) พบว่า ไอเดน แอสลิน และฌอน พินเนอร์ กับ บราฮิม ซาดูน ชาวโมร็อกโก มีความผิดฐานเป็นทหารรับจ้างและดำเนินการต่างๆ ที่มีเป้าหมายยึดอำนาจและโค่นระเบียบรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์
ชายทั้ง 3 คน ถูกจับกุมระหว่างร่วมรบช่วยยูเครนสู้กับรัสเซียและกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย หลังมอสโกเปิดฉากรุกรานในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ ทนายความของพวกเขาเปิดเผยว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว
สหราชอาณาจักรประณามคำตัดสินของศาลว่าเป็นคำพิพากษาที่น่าอดสู พร้อมบอกว่า แอสลิน และพินเนอร์ เป็นทหารปกติ และควรได้รับการยกเว้นภายใต้อนุสัญญาเจนีวา ซึ่งพวกเชลยศึกมีสิทธิได้รับการคุ้มกันในฐานะผู้ทำการรบ และไม่ควรถูกดำเนินคดีสำหรับการเข้าร่วมในสงคราม
อีกด้านหนึ่งครอบครัวของ จอร์แดน แกตลีย์ อดีตทหารสหราชอาณาจักร เปิดเผยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่าเขาเสียชีวิตขณะร่วมสู้รบให้ยูเครนในเมืองซีวีโรโดเนตสก์
(ที่มา : รอยเตอร์)