เจ้าหน้าที่ยูเครนมั่นใจว่า ถ้าได้อาวุธจรวดหลายลำกล้องพิสัยทำการไกลขึ้นจากตะวันตก จะช่วยขับไล่กองทัพรัสเซียและชิงเมืองซีวีโรโดเนตสก์คืนได้ภายในไม่กี่วัน ขณะที่ เลขาธิการใหญ่ยูเอ็น อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เตือนว่า ผลจากการรุกรานยูเครนของรัสเซียกำลังเลวร้ายลงเรื่อย ๆ และมีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้คนมากถึง 1,600 ล้านคนทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนี้
เซียร์ฮีย์ ไกได ผู้ว่าการแคว้นลูฮันสก์ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 แคว้นที่ประกอบกันเป็นภูมิภาคดอนบาส ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัสฯ (9 มิ.ย.) ว่า ถ้าหากยูเครนมีอาวุธพวกจรวดหลายลำกล้องพิสัยไกลขึ้น ที่สามารถต่อกรกับอาวุธประเภทนี้ของรัสเซีย กองกำลังพิเศษของยูเครนจะสามารถขับไล่กองกำลังมอสโกออกจากเมืองซีวีโรโดเนตสก์ ได้ภายใน 2-3 วัน ทั้งนี้ ซีวีโรโดเนตสก์ เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองของลูฮันสก์ซึ่งยังไม่ถูกฝ่ายรัสเซียชิงเอาไป
สหรัฐฯและอังกฤษประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะจัดส่งระบบจรวดหลายลำกล้องที่มีความแม่นยำสูงและมีพิสัยทำการไกลขึ้นกว่าอาวุธซึ่งยูเครนมีอยู่ในเวลานี้ ให้แก่ทางการเคียฟ รวมทั้งเริ่มฝึกทหารยูเครนให้สามารถใช้อาวุธเหล่านี้ด้วย อย่างไรก็ตาม มีรายงานระบุว่าด้วย ระบบที่ 2 ประเทศสามารถจัดส่งให้ได้นั้น มีเพียงจำนวนน้อยนิด
ไกไดเสริมว่า ขณะนี้รัสเซียสามารถควบคุมพื้นที่กว่า 98% ในลูฮันสก์ และถล่มจรวดกับปืนใหญ่ใส่พื้นที่ครอบครองของยูเครนไม่หยุดหย่อน แต่ย้ำว่า กองกำลังยูเครนยังมีกำลังใจดีและเปิดการสู้รบกับฝ่ายรัสเซียแบบชิงพื้นที่กันทีละถนนทีละบล็อก
ทางด้านสำนักประธานาธิบดียูเครนแถลงว่า การโจมตีของฝ่ายรัสเซียสองครั้งเมื่อคืนวันพุธพุ่งเป้าโรงงานเคมีอาซ็อต ในเมืองซีวีโรโดเนตสก์ ซึ่งมีสองส่วนได้รับความเสียหาย รวมถึงศูนย์ผลิตแอมโมเนีย อย่างไรก็ดี ไม่มีผู้บาดเจ็บและไม่มีอันตรายจากสารเคมีรั่วไหล เนื่องจากมีการขนย้ายสารอันตรายออกไปแล้วก่อนหน้านี้ และขณะนี้มีพลเรือนราว 800 คนหลบภัยอยู่ในโรงงาน
นอกจากนั้นรัสเซียยังระดมโจมตีพื้นที่เป็นวงกว้างในแคว้นลูฮันสก์ด้วยปืนครก ปืนใหญ่ จรวด และทำให้ประชาชนเสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บ 5 คนในหมู่บ้านโตชคิฟกาที่ห่างจากเมืองซีวีโรโดเนตสก์ประมาณ 25 กิโลเมตร
ขณะนี้ กองกำลังมอสโกกำลังทุ่มเทเต็มที่เพื่อครอบครองซีวีโรโดเนตสก์ซึ่งเป็นฮับอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเข้ายึดดินแดนด้านตะวันออกของยูเครน โดยเฉพาะดอนบาส
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ของยูเครน ระบุในการปราศรัยประจำวันของเขาเมื่อคืนวันพุธ (8) ว่า สมรภูมิในซีวีโรโดเนตสก์เป็นหนึ่งในการสู้รบที่ยากลำบากที่สุดนับจากสงครามปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ และสมรภูมินี้จะเป็นตัวชี้ชะตาภูมิภาคดอนบาสทั้งหมด
เซเลนสกี้ยังเตือนว่า ประชากรโลกหลายล้านคนอาจอดอยากหิวโหย หากรัสเซียยังคงปิดกั้นท่าเรือในทะเลดำซึ่งทำให้โลกจ่อเผชิญวิกฤตอาหารเลวร้าย
ปัจจุบัน รัสเซียยึดพื้นที่ขนาดใหญ่ตามแนวชายฝั่งยูเครน ซึ่งอยู่ติดกับทะเลดำและทะเลอาซอฟ ปิดกั้นการส่งออกสินค้าเกษตร และทำให้ราคาธัญพืชพุ่งทะยาน
เซเลนสกี้สำทับว่า ขณะนี้ยูเครนไม่สามารถส่งออกข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำมันพืช และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในปริมาณมาก ซึ่งสินค้าเหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพตลาดโลก
ยูเครนและตะวันตกกล่าวหามอสโกใช้ซัปพลายอาหารเป็นอาวุธ ทว่า มอสโกโต้ตอบว่า ทุ่นระเบิดซึ่งยูเครนหว่านเอาไว้ในทะเล ตลอดจนมาตรการแซงก์ชันของตะวันตกต่อมอสโกต่างหากที่เป็นตัวการของปัญหานี้
ก่อนหน้านี้เคียฟเคยส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ผ่านท่าเรือในทะเลดำและทะเลอาซอฟ แต่นับจากที่รัสเซียเปิดฉากบุกเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ยูเครนถูกบีบให้ขนส่งธัญพืชทางรถไฟผ่านพรมแดนด้านตะวันตกหรือท่าเรือขนาดเล็กในแม่น้ำดานูบ ซึ่งมีศักยภาพต่ำกว่ามาก
ทางด้าน เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติกล่าวในวันพุธ (8) ระหว่างนำเสนอรายงานฉบับที่ 2 ของสหประชาชาติ ในเรื่องผลกระทบของการสู้รบขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียว่า "ผลกระทบของสงครามต่อความมั่นคงทางอาหาร พลังงานและการเงิน เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ รุนแรงและกำลังรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ"
กูเตียร์เรส บอกว่าในขณะที่วิกฤตอาหารในปีนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการไม่สามารถเข้าถึงอาหาร แต่ในปีหน้าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขาดแคลน "มีหนทางเดียวที่จะหยุดพายุที่กำลังก่อตัวลูกนี้ นั่นก็คือการรุกรานยูเครนของรัสเซียต้องหยุดลง" เขากล่าววิงวอน
เลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ระบุต่อว่าเขาร้องขอหุ้นส่วนทั้งหลาย "ให้เสาะหาข้อตกลงที่จะเปิดทางสำหรับส่งออกอาหารที่ผลิตโดยยูเครนอย่างปลอดภัยและมั่นคงผ่านทะเลดำ และไม่ขัดขวางอาหารและปุ๋ยรัสเซียที่ป้อนเข้าสู่ตลาดโลก"
"ข้อตกลงนี้มีความจำเป็นสำหรับประชาชนหลายร้อยล้านคนในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา ในนั้นรวมถึงประเทศในทวีปแอฟริกาในแถบซับซาฮารา" กูเตียร์เรสระบุ
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)