กองทัพยูเครนและกองทัพรัสเซีย เปิดการสู้รบกันอย่างดุเดือดแบบแย่งชิงพื้นที่กันทีละสายถนน เพื่อเข้าควบคุมเมืองซีวีโรโดเนตสก์ เมื่อวันจันทร์ (6 มิ.ย.) ในสมรภูมิซึ่งทรงความสำคัญมากสำหรับการบุกยึดภาคตะวันออกยูเครนของเครมลิน ขณะเดียวกัน รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มเคียฟครั้งแรกในรอบกว่าเดือน
ระหว่างทัพยูเครนและทัพรัสเซีย ฝ่ายใดจะเหนือกว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจน ขณะที่เวลาผ่านพ้นไปในแต่ละชั่วโมง กองกำลังฝ่ายรัสเซียนั้นมีความได้เปรียบในเรื่องจำนวน ทว่ายูเครนก็มี “โอกาสทุกๆ ประการ” ที่จะรุกตอบโต้กลับ ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี รีบประกาศลั่นปลุกขวัญ ภายหลังเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นผู้หนึ่งพูดในทำนองยอมรับว่าเคียฟกำลังเป็นฝ่ายสูญเสียพื้นที่
กระทรวงกลาโหมยูเครนแถลงว่า รัสเซียกำลังทุ่มเททหารและยุทโธปกรณ์เข้ามาเพื่อยึดซีวีโรโดเนตสก์ ซึ่งเวลานี้กลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในแคว้นลูฮันสก์ ของภูมิภาคดอนบาส ซึ่งยังอยู่ใต้การควบคุมของเคียฟ
ก่อนหน้านี้ฝ่ายยูเครนออกข่าวว่า ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังของตนสามารถยันและผลักดันฝ่ายรัสเซียให้ต้องล่าถอยไป ขณะที่พวกเขาทำท่าเหมือนกำลังจะได้ชัยชนะตีซีวีโรโดเนตสก์ได้อยู่รอมร่อแล้ว โดยที่ เซียร์ฮีย์ ไกได ผู้ว่าการแคว้นลูฮันสก์ระบุว่า ฝ่ายตนยึดเมืองนี้กลับคืนมาได้ถึงครึ่งเมือง
อย่างไรก็ตาม พอถึงเช้าวันจันทร์ (6) ไกได ยอมรับกับโทรทัศน์แห่งรัฐของยูเครนว่า “กองกำลังป้องกันของฝ่ายเราพยายามที่จะตีโต้กลับอยู่ช่วงหนึ่ง จนสามารถปลดแอกพื้นที่ได้เกือบๆ ครึ่งเมือง แต่มาถึงตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายลงไปนิดหน่อยอีกครั้งหนึ่งสำหรับพวกเรา”
ด้าน โอเลคซานดร์ สตระยุค นายกเทศมนตรีซีซีโรโดเนตสก์ สำทับว่า การสู้รบแบบชิงถนนไปทีละสายกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด โดยไม่มีฝ่ายใดทำท่าจะยอมถอย
“พวกเรารวบรวมกำลังพลและทรัพยากรต่างๆ เอาไว้ที่นั่นอย่างเพียงพอที่จะโจมตีตอบโต้กลับไปในเมืองนี้” สตระยุค บอกกับทีวียูเครน
ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่า สามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักหน่วง
ด้านประธานาธิบดีเซเลนสกีพยายามปลุกขวัญกองทหารของเขาเมื่อวันอาทิตย์ ด้วยการเดินทางไปเยือนเมือง 2 แห่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับแนวหน้า ได้แก่ ลีซีชานสก์ ซึ่งเป็นเมืองแฝดอยู่คนละฟากแม่น้ำกับซีวีโรโดเนตสก์ และเมืองโวเลดาร์ ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่รัสเซียรุกรานยูเครน มีน้อยครั้งมากที่เซเลนสกีจะเดินทางออกมานอกกรุงเคียฟ
ทั้ง ลีซีแชนสก์และซีวีโรโดเนตสก์อยู่ในแคว้นลูฮันสก์ ส่วนโซลดาร์อยู่ในแคว้นโดเนตสก์ โดย 2 แคว้นนี้รวมกันเป็นภูมิภาคดอนบาส ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสำคัญของยูเครนมาตั้งแต่สมัยยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต และรัสเซียระบุว่า มีภารกิจในการปลดปล่อยดอนบาสให้ได้
แต่นอกจากรุกหนักที่ซีวีโรโดเนตสก์แล้ว รัสเซียยังคงถล่มแคว้นคาร์คีฟอย่างหนักด้วยปืนใหญ่และปืนครกเพื่อรักษาพื้นที่ยึดครองเอาไว้ โดยคณะเสนาธิการใหญ่กองทัพยูเครนกำล่าวหาว่า รัสเซียพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลเรือนในหลายเมืองของบริเวณนี้ รวมถึงศูนย์ราชการ ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 10 คน
นอกจากนั้น เมื่อวันอาทิตย์ยังเป็นครั้งแรกในรอบกว่าเดือนที่รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มกรุงเคียฟ โดยยูเครนระบุว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธ 4 ลูกโจมตีศูนย์ซ่อมรถไฟ และทำให้มีผู้บาดเจ็บ 1 คน
ทางการยูเครนยังระบุว่า รัสเซียใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด ซึ่งบินอยู่ในทะเลแคสเปียน ยิงขีปนาวุธพิสัยไกลจากทางอากาศโจมตีกรุงเคียฟ
ทว่า โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า กองกำลังอวกาศของรัสเซียยิงขีปนาวุธพิสัยไกลความแม่นยำสูงไปยังชานกรุงเคียฟ และทำลายรถถังที-72 ที่ประเทศในยุโรปตะวันออกส่งให้ยูเครน รวมทั้งยานยนต์หุ้มเกราะที่จอดอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินในเคียฟ
ในอีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวทาสส์ของรัสเซียรายงานเมื่อวันอาทิตย์ว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เตือนอเมริกาว่า รัสเซียจะเพิ่มเป้าหมายการโจมตีใหม่ๆ หากตะวันตกจัดส่งขีปนาวุธที่มีพิสัยไกลขึ้น เพื่อให้ยูเครนใช้กับระบบจรวดหลายลำกล้องความแม่นยำสูง
ประมุขวังเครมลินบอกด้วยว่า จรวดที่วอชิงตันสัญญาจะให้ยูเครนนั้น ถึงอย่างไรก็มีศักยภาพเทียบเท่าอาวุธยุคโซเวียตที่เคียฟมีอยู่แล้วเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ อังกฤษยังคงแถลงว่า ได้ประสานงานกับอเมริกาและจะจัดส่งระบบจรวดหลายลำกล้องที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึง 80 กิโลเมตรให้ยูเครน หลังจากสัปดาห์ที่แล้วอเมริการับปากจัดส่งระบบจรวดพิสัยกลางล้ำยุคให้เคียฟ
ขณะเดียวกัน เคียฟระบุว่า ปัจจุบันรัสเซียสามารถยึดครองพื้นที่ 1 ใน 5 ของยูเครน อีกทั้งยังปิดกั้นท่าเรือในทะเลดำ จุดชนวนความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตอาหารโลก
ยูเครนและรัสเซียต่างเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก และขณะนี้สหประชาชาติ เป็นแกนนำการเจรจาอย่างเข้มข้นเพื่อให้รัสเซียยอมเปิดทางยูเครนส่งออกธัญญาหารสู่ตลาดโลก
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี)