xs
xsm
sm
md
lg

‘ไบเดน’ อนุมัติเพิ่มงบช่วยยูเครนทางทหาร โดยจัดส่งอาวุธ ‘ปืนใหญ่หนัก’ ให้ด้วย หลัง “ปูติน” ประกาศชัย ‘ปลดปล่อย’ เมืองมาริอูโปล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ประชุมหารือกับรัฐมนตรีกลาโหม เซียร์เก ชอยกู ในเครมลินกรุงมอสโก วันพฤหัสบดี (21 เม.ย.) (ภาพเผยแพร่โดยสำนักงานสารนิเทศ ของทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย)
“ปูติน” อ้างได้ชัยชนะในการรบใหญ่ที่สุดในสงครามยูเครนคราวนี้ โดยประกาศว่า สามารถ “ปลดปล่อย” เมืองมาริอูโปลสำเร็จ หลังเข้าปิดล้อมมาเกือบ 2 เดือน ลั่นไม่จำเป็นต้องบุกถล่มโรงงานเหล็กที่เป็นที่มั่นสุดท้ายของพวกนักรบเดนตายฝ่ายยูเครน แต่จะปิดล้อมจนกว่าจะยอมจำนนเอง ส่วนทางด้าน “ไบเดน” ประกาศอนุมัติให้ช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนเพิ่มอีก 800 ล้านดอลลาร์ โดยที่จะจัดส่งปืนใหญ่ขนาดหนักไปให้ด้วย สำหรับสู้แดนหมีขาวที่เปิดการรุกครั้งใหม่ในภาคตะวันออก

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวระหว่างประชุมกับ เซียร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมในเครมลิน โดยมีการถ่ายทอดทางทีวี เมื่อวันพฤหัสบดี (21 เม.ย.) ว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ากวาดล้างนักรบยูเครนกลุ่มสุดท้ายที่ถูกปิดล้อมอยู่ภายในโรงงานเหล็กและเหล็กกล้า “อาซอฟสตัล” อันใหญ่โต ของเมืองมาริอูโปล โดยปูตินสั่งการให้ใช้วิธีปิดล้อมโรงานดังกล่าวต่อไปอย่างแน่นหนาชนิด “แม้แต่แมลงวันก็ไม่ให้บินออกมาได้”

ทั้งนี้ ชอยกูประเมินว่า ยังมีทหารยูเครนและนักรบรับจ้างต่างชาติราว 2,000 นายอยู่ภายในโรงงานแห่งนั้น ซึ่งถือเป็นโรงหลอมโลหะใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป โดยมีพื้นที่กว้างขวางถึง 11 ตารางกิโลเมตร พรั่งพร้อมด้วยอาคารขนาดมหึมา บังเกอร์และอุโมงค์ใต้ดินยาวเหยียด ปูตินนั้นเคยพูดถึงพวกทหารยูเครนเดนตายเหล่านี้ว่า จะต้องวางอาวุธยอมจำนน ไม่เช่นนั้นก็จะต้องตาย

แต่ในคราวนี้ ปูตินนอกจากแสดงความยินดีกับ ชอยกู และกองทหารรัสเซีย สำหรับ “ความพยายามในการสู้รบเพื่อปลดปล่อยมาริอูโปลจนประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์” แล้ว เขายังกล่าวต่อไปว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกกำลังบุกเข้าไปถล่มโรงงานแห่งนั้น และออกคำสั่งให้ยกเลิกการปฏิบัติการดังกล่าว

“ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องปีนลงไปในสุสานใต้ดินเหล่านี้ และคลานอยู่ใต้ดินตลอดทั่วทั้งโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้ ... ปิดสกัดพื้นที่อุตสาหกรรมนี้ให้แน่นหนาชนิดที่แม้กระทั่งแมลงวันสักตัวก็เล็ดลอดออกมาไม่ได้” ดีกว่า ปูตินแนะนำ

ชอยกูยังบอกปูตินว่า ในการรณรงค์เพื่อเข้ายึดมาริอูโปล รัสเซียสังหารทหารยูเครนไปกว่า 4,000 คน และอีก 1,478 คนออกมายอมจำนน

ขณะที่โฆษกหญิงกระทรวงกลาโหมยูเครนกล่าวตอบโต้ว่า ความเคลื่อนไหวนี้พิสูจน์ “แนวโน้มโรคจิตเภท” ของปูติน และไม่มีการอธิบายเพิ่มเติมใดๆ

การประกาศชัยชนะเหนือมาริอูโปล ถือเป็นรางวัลใหญ่สำหรับปูติน นับจากที่รัสเซียถอนกำลังออกจากดินแดนตอนเหนือของยูเครนเมื่อเดือนที่แล้วหลังจากไม่สามารถยึดกรุงเคียฟได้

มาริอูโปลที่เคยมีประชากรอาศัยอยู่ 400,000 คน กลายเป็นสมรภูมิรบที่รุนแรงนองเลือดที่สุดและเกิดความหายนะด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในสงครามยูเครนเท่าที่ปรากฏขึ้นมาจนถึงเวลานี้ โดยที่ฝ่ายยูเครนอ้างว่าพลเรือนนับหมื่นๆ ถูกปิดล้อมและถูกถล่มด้วยระเบิดและปืนใหญ่เกือบ 2 เดือน ขณะที่รัสเซียอ้างเรื่อยมาว่าไม่โจมตีแบบพุ่งเป้าใส่พลเรือน

พวกนักหนังสือพิมพ์ที่เข้าไปถึงมาริอูโปลระหว่างมีการปิดล้อม รายงานว่าพบศพถูกทิ้งเอาไว้ตามถนนหลายๆ สาย อาคารเกือบทั้งหมดถูกทำลาย และชาวเมืองรวมกลุ่มเบียดเสียดกันหลบอยู่ตามห้องใต้หลังคา โดยต้องคอยเสี่ยงภัยออกมาหุงหาอะไรที่พอจะใช้กินได้บนเตาไฟที่ทำขึ้นแบบลวกๆ หรือออกมาเผาศพผู้เสียชีวิตในพื้นที่สวน

ยูเครนอ้างว่า มีพลเรือนนับหมื่นคนถูกสังหารในมาริอูโปล โดยบางส่วนถูกฝังรวมกันในหลุมขนาดใหญ่ และศพอีกจำนวนมากที่อยู่ตามท้องถนนถูกรัสเซียเผาทำลายในรถเผาศพเคลื่อนที่ ขณะที่สหประชาชาติ และองค์การกาชาดระบุว่า ยังไม่รู้ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แน่นอนแต่น่าจะมีอย่างน้อยหลายพันคน

มี 2 เหตุการณ์ในมาริอูโปล ที่เคียฟและฝ่ายตะวันตกอ้างว่าเป็นพฤติการณ์เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมสงคราม ได้แก่ การทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ และโรงละครที่ยูเครนบอกว่ามีพลเรือนหลายร้อยคนหลบภัยอยู่ ทว่า มอสโกปฏิเสธว่า ไม่ได้โจมตีพลเรือน และข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นข่าวปลอม

ที่ผ่านมา รัสเซียยังถูกเคียฟและฝ่ายตะวันตกกล่าวโทษว่า ขัดขวางความพยายามทั้งหมดของยูเครนในการส่งความช่วยเหลือไปมาริอูโปล หรือการส่งรถบัสไปอพยพพลเรือนไปยังสถานที่ปลอดภัยในดินแดนซึ่งอยู่ในการควบคุมของยูเครน นอกจากนั้น เคียฟยังกล่าวหามอสโกว่า บังคับคนยูเครนนับหมื่นๆ ให้เดินทางลี้ภัยไปยังรัสเซีย ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมสงคราม

ด้านมอสโกระบุว่า ได้อพยพพลเรือน 140,000 คนจากมาริอูโปลเพื่อเหตุผลทางมนุษยธรรม

มาริอูโปลถือเป็นจุดต่อเชื่อมสำคัญที่รัสเซียต้องการยึดเอาไว้ให้ได้ เพื่อให้สามารถสร้างการติดต่อที่มีความมั่นคงปลอดภัยระหว่างดินแดนแหลมไครเมียที่มอสโกยึดเอาไว้ตั้งแต่ปี 2014 กับพื้นที่ซึ่งพวกแบ่งแยกดินแดนเชื้อสายรัสเซียยึดครองอยู่ในภูมิภาคดอนบาสส์ที่อยู่ทางตะวันออกของยูเครน

นอกจากนั้น เมืองนี้ยังเป็นท่าเรือหลักสำหรับดอนบาสส์ ซึ่งมอสโกต้องการให้ยูเครนยอมสละให้แก่พวกแบ่งแยกดินแดนอย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ หลังจากไม่สามารถยึดเคียฟได้และถูกบีบให้ถอนจีงออกจากภาคเหนือของยูเครน รัสเซียได้ปรับกำลังพลและเปิดปฏิบัติการใหญ่ครั้งใหม่ในเขตดอนบาสส์ในสัปดาห์นี้ โดยเปิดฉากบุกพร้อมกันหลายทิศทางเพื่อพยายามโอบล้อมกองทัพยูเครน

ทางด้านหน่วยข่าวกรองทางทหารของอังกฤษระบุว่า กองกำลังรัสเซียต้องการประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ภายในวันที่ 9 เดือนหน้า ซึ่งเป็นวันครบรอบชัยชนะของสัมพันธมิตรในยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 2

สำหรับการเจรจาสันติภาพระหว่างทั้งรัสเซียกับยูเครน เวลานี้อยู่ในภาวะชะงักงัน ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกเครมลิน ระบุว่า มอสโกยังรอคำตอบจากเคียฟเกี่ยวกับข้อเสนอที่ส่งไป

ทว่า ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวเมื่อวันพุธ (20) ว่า ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับเอกสารที่เครมลินอ้างว่าส่งให้

ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ซึ่งเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (21) ว่า อนุมัติงบช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนก้อนใหม่อีก 800 ล้านดอลลาร์ ให้สัญญาจะจัดส่งปืนใหญ่เฮาวิตเซอร์หลายสิบกระบอก กระสุนอีก 144,000 นัด และโดรนทางยุทธวิธีไปให้แก่ยูเครน

เขาบอกว่า เวลานี้เป็นโอกาสที่สำคัญยิ่งยวดที่สหรัฐฯ และพันธมิตรต้องเคลื่อนไหวให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ยูเครนต้องการ ขณะที่รัสเซียกำลังเตรียมตัวสำหรับขั้นตอนใหม่ของสงครามครั้งนี้

แพกเกจอาวุธก้อนใหม่นี้จะอยู่ในขนาดเดียวกับก้อน 800 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกาศเอาไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนั้น ไบเดนยังประกาศแผนการห้ามเรือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ในเครือของชาวรัสเซีย เข้ามายังสหรัฐฯ โดยถือเป็นมาตรการแซงก์ชันอีกอย่างหนึ่งที่ฝ่ายตะวันตกนำออกมาใช้เล่นงานมอสโก

(ที่มา : รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น