“ไบเดน” ลั่นมหาอำนาจตะวันตกเป็นหนึ่งเดียวกันโดยสิ้นเชิง หลังหารือกับผู้นำฟากยุโรปเพื่อหาทางป้องปรามไม่ให้รัสเซียบุกยูเครน ขณะเดียวกัน เพนตากอนเผยทหาร 8,500 นายเตรียมพร้อมประจำการเพื่อเสริมกำลังของนาโต้ที่ระดมกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังยุโรปตะวันออกแล้ว ด้านมอสโกประณามตะวันตก “เป็นโรคประสาทหวาดผวา” และแพร่กระจายข่าวโกหก
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวภายหลังประชุมทางไกลผ่านจอภาพกับพวกผู้นำชาติพันธมิตรในยุโรปและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) นานกว่าชั่วโมงเมื่อวันจันทร์ (24 ม.ค.) ว่า อเมริกาและผู้นำยุโรปทั้งหมดมีจุดยืนเป็นหนึ่งเดียวกันโดยสิ้นเชิง
ทางด้านอังกฤษ สำนักนายกรัฐมนตรีที่นั่นแถลงในทำนองเดียวกันว่า เหล่าผู้นำเห็นพ้องถึงความสัมพันธ์ในการที่นานาชาติจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อรับมือการเป็นปฏิปักษ์ของรัสเซีย
ส่วนนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับรัสเซียว่าจะลงมือทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดบรรเทาลงหรือไม่ ขณะที่เจนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้ เตือนว่า รัสเซียต้องจ่ายแพงถ้ารุกรานยูเครน
การประชุมดังกล่าวยังมีผู้นำฝรั่งเศส อิตาลี โปแลนด์ และสหภาพยุโรปร่วมหารือด้วย
มีรายงานว่า รัสเซียเวลานี้ส่งทหารราว 100,000 นายไปประชิดใกล้พรมแดนยูเครน ถึงแม้ฝ่ายหมีขาว รวมทั้งประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ไม่มีเจตนาโจมตียูเครน แต่ฝ่ายตะวันตกยังคงหวาดระแวง สืบเนื่องจากเมื่อปี 2014 มอสโกเคลื่อนกำลังแบบสายฟ้าแลบชิงแหลมไครเมียคืนมาจากยูเครน อีกทั้งสนับสนุนกองกำลังแบ่งแยกดินแดนทางด้านตะวันออกของยูเครน
รัสเซียนั้นไม่พอใจฝ่ายตะวันตกที่ “ตระบัดสัตย์” ผิดคำสัญญาซึ่งให้ไว้ช่วงสหภาพโซเวียตล่มสลาย ที่ว่าจะไม่ขยายองค์การนาโต้มาทางตะวันออก โดยปัจจุบันพวกชาติในยุโรปตะวันออกซึ่งเคยอยู่ใต้อิทธิพลโซเวียต และกระทั่งหลายประเทศที่เคยเป็นอดีตสาธารณรัฐในสหภาพโซเวียตด้วยซ้ำ ต่างเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำกลุ่มนี้กันเป็นแถว
มอสโกซึ่งมองสถานการณ์เช่นนี้เป็นภัยคุกคามตน เวลานี้กำลังเรียกร้องให้ตะวันตกรับประกันว่า จะไม่รับยูเครนที่เคยเป็นหนึ่งในสาธารณรัฐสำคัญของโซเวียต เข้าเป็นสมาชิกนาโต้ ตลอดจนไม่นำเอาอาวุธโจมตีมาประจำการในประเทศซึ่งอยู่ติดต่อกับตน เพื่อแลกกับการปลดชนวนความตึงเครียด
ทว่าอเมริกาและนาโต้ปฏิเสธข้อเรียกร้องเหล่านั้น และบอกให้ปูตินถอนทหารออกจากชายแดนยูเครน โดยเตือนว่าถ้ารัสเซียบุกจะต้องเจอกับมาตรการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ตลอดจนถึงการเพิ่มกำลังของนาโต้ในยุโรปตะวันออก
ที่วอชิงตัน จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงว่า ทหารอเมริกัน 8,500 นาย “เตรียมพร้อมในระดับสูง” สำหรับแนวโน้มความเป็นไปได้ในการถูกส่งไปประจำการเพื่อเสริมกำลังกองกำลังตอบโต้ของนาโต้ในยุโรปตะวันออก
ทางด้านนาโต้เผยว่า สมาชิกหลายชาติได้จัดเตรียมกำลังพล รวมทั้งส่งเครื่องบินและเรือรบไปเสริมการป้องกันยุโรปตะวันออกแล้ว และนาโต้จะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องสมาชิก โดยขณะนี้ นาโต้มีทหารราว 4,000 นายประจำอยู่ในเอสโตเนีย ลิทัวเนีย แลตเวีย และโปแลนด์ รวมทั้งรถถัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศ หน่วยข่าวกรองและสอดแนม
ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสเผยว่า เจ้าหน้าที่รัสเซียและยูเครนจะหารือกันในวันพุธ (26) ที่ปารีสโดยมีตัวแทนจากฝรั่งเศสและเยอรมนีร่วมด้วย เพื่อหาทางออกสำหรับวิกฤตนี้ นอกจากนั้น ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง จะหารือทางโทรศัพท์กับปูตินในเร็วๆ นี้
วอชิงตันกำลังพยายามรักษาความเป็นเอกภาพกับยุโรปเพื่อให้คำขู่ใช้มาตรการแซงก์ชันเพื่อป้องปรามรัสเซียน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างไรก็ดี สมาชิก 27 ชาติของอียูดูเหมือนมีแนวทางขัดแย้งกันชัดเจน และบางประเทศยังมีสายสัมพันธ์กับรัสเซียที่เป็นผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติให้อียูถึง 40%
เยอรมนีนั้นถูกยูเครนวิจารณ์หนักหลังจากปฏิเสธการส่งอาวุธเพื่อช่วยปกป้องเคียฟ ทั้งยังลังเลในการสนับสนุนมาตรการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดคือ การตัดมอสโกออกจากระบบชำระเงินสวิฟต์
ทั้งนี้ เคอร์บีย้ำว่า ข่าวกรองของอเมริกาบ่งชี้ชัดเจนว่า รัสเซียไม่มีเจตนาจะทำให้สถานการณ์คลี่คลาย
กระนั้น ดูเหมือนผู้นำยุโรปบางชาติไม่ได้ตกอกตกใจมากนัก โดยโจเซฟ บอร์เรล ประธานด้านนโยบายการต่างประเทศของอียู กล่าวภายหลังหารือกับแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่า รัสเซียจะบุก “ตอนนี้”
นอกจากนั้น ขณะที่อังกฤษและออสเตรเลียเดินตามอเมริกาสั่งครอบครัวเจ้าหน้าที่ทูตเดินทางออกจากเคียฟ อียูและยูเครนกลับเห็นว่า เร็วเกินไปที่จะถอนเจ้าหน้าที่สถานทูตกลับประเทศ
ด้าน ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกของวังเครมลินกล่าวหาตะวันตก “เป็นโรคประสาทหวาดผวา” และแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เจือด้วยคำโกหก พร้อมกับบอกว่า นาโต้มีแต่คำแถลงเรื่องเสริมกำลัง ดึงกำลังและทรัพยากรไปทางปีกตะวันออก
“นี่ไม่ใช่กำลังเกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งที่เรา รัสเซีย กำลังทำอยู่ ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นเพราะสิ่งที่นาโต้และสหรัฐฯ กำลังทำอยู่ และสืบเนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่พวกเขากำลังแพร่กระจายออกไป”
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอเจนซีส์)