สหราชอาณาจักรในวันจันทร์ (17 ม.ค.) เผยได้เริ่มจัดหาส่งมอบอาวุธต่อต้านรถถังแก่ยูเครน เพื่อช่วยเคียฟป้องกันตนเองจากความเป็นไปได้ที่อาจถูกรุกราน ท่ามกลางเหตุเผชิญหน้ากับรัสเซีย ซึ่งระดมกำลังพลจำนวนมากใกล้ชายแดนติดกับยูเครน
บรรดาชาติตะวันตกแสดงความกังวลว่ารัสเซียกำลังเตรียมการหาข้ออ้างในการจู่โจมรอบใหม่ต่อยูเครน หลังจากมอสโกเคยยกพลรุกรานประเทศแห่งนี้มาแล้วในปี 2014
รัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้มีแผนโจมตีใดๆ และบอกว่าพวกเขาอาจใช้มาตรการทางทหารโดยไม่ระบุอย่างเจาะจง จนกว่าตะวันตกจะยอมทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ในนั้นรวมถึงแบนยูเครนจากการเข้าร่วมนาโต้ตลอดกาล อย่างไรก็ตาม การเจรจาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จบลงโดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถฝ่าทางตันใดๆ และเคียฟร้องขอให้บรรดาประเทศตะวันตกจัดหาอาวุธช่วยพวกเขาปกป้องตนเอง
"เราตัดสินใจจัดหาระบบอาวุธป้องกันตนเองต่อต้านรถถังเบาให้แก่ยูเครน" เบน วอลเลซ รัฐมนตรรีกลาโหมสหราชอาณาจักรบอกกับรัฐสภา "ระบบชุดแรกได้มีการส่งมอบไปแล้วในวันจันทร์ และจะมีการส่งบุคลากรของสหราชอาณาจักรจำนวนเล็กๆ จำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยฝึกฝนในช่วงเวลาสั้นๆ"
เขาไม่ได้เจาะจงถึงจำนวนหรือชนิดอาวุธที่ถูกส่งไป แต่กล่าวว่า "เหล่านั้นไม่ใช่อาวุธทางยุทธศาสตร์และไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย พวกมันจะถูกใช้ในการป้องกันตนเอง"
โอเล็กเซ เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกลาโหมของยูเครนเขียนบนทวิตเตอร์ ยินดีกับถ้อยแถลงของทางวอลเลซ โดยระบุว่า "อาวุธเหล่านี้มีพิสัยทำการสั้นๆ แต่กระนั้นมันจะทำให้คนหยุดคิดทบทวนว่าพวกเขากำลังทำอะไร หากรถถังเคลื่อนเข้าสูยูเครนและรุกรานยูเครน เมื่อนั้นอาวุธเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในกลไกป้องกันตนเอง"
"ยูเครนรู้สึกสำนึกบุญคุณเป็นอย่างสูงต่อการตัดสินใจของสหราชอาณาจักรที่มอบแพกเกจด้านความมั่นคงใหม่ให้ยูเครน ด้วยระบบอาวุธป้องกันตนเองต่อต้านรถถังเบา" เรซนิคอฟ ระบุบนทวิตเตอร์
ก่อนหน้านี้ สหราชอาณาจักรเคยเตือนรัสเซียต่อผลสนองรุนแรง หากว่าพวกเขาเปิดฉากโจมตีทางทหารรอบใหม่ใส่ยูเครน พร้อมกับมอบเงินทุนสนับสนุนส่งเสริมยกระดับศักยภาพกองทัพเรือของยูเครน
วอลเลซ กล่าวว่า เขาได้เชิญ เซอร์เก ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซีย เดินทางเยือนลอนดอนในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤต แต่ยังไม่ทราบว่าฝ่ายรัสเซียจะตอบรับคำเชิญหรือไม่
"ช่องว่างในปัจจุบันขยายกว้างมากขึ้น ไม่ใช่ว่าจะเชื่อมต่อกันไม่ได้" วอลเลซกล่าว ส่งเสียงแห่งความหวังว่าแนวทางด้านการทูตจะได้ผล พร้อมบอกต่อว่า "ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จะเป็นคนเลือก"
(ที่มา : รอยเตอร์)