จีน รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส มีมติเห็นพ้องให้หลีกเลี่ยงการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ และการก่อสงครามนิวเคลียร์ โดยระบุว่าจะ “ไม่มีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ”
คำแถลงร่วมที่เผยแพร่โดยทำเนียบเครมลินเมื่อวันจันทร์ (3 ม.ค.) ระบุว่า 5 ชาติมหาอำนาจซึ่งเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เล็งเห็นถึงความรับผิดชอบที่จะต้องหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างรัฐที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และลดความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์ลง ในขณะเดียวกัน ก็ต้องร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความมั่นคง
“เราขอประกาศยืนยันว่า ไม่มีฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะในสงครามนิวเคลียร์ และจะต้องไม่มีสงครามนี้เกิดขึ้น” คำแถลงร่วมในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ระบุ
“เนื่องจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ย่อมสงผลกระทบเป็นวงกว้าง เราจึงขอประกาศเช่นกันว่า ตราบใดที่ยังคงมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ มันจะต้องถูกใช้เพื่อการป้องกัน ป้องปรามการรุกราน และหลีกเลี่ยงสงครามเท่านั้น”
ทางด้านของฝรั่งเศสยังได้ออกถ้อยแถลงต่างหากอีกฉบับ เพื่อย้ำถึงความมุ่งมั่นของ 5 มหาอำนาจที่จะควบคุมและปลดอาวุธนิวเคลียร์ โดยจะใช้แนวทางทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีเพื่อควบคุมอาวุธนิวเคลียร์
คำแถลงร่วมจากกลุ่มมหาอำนาจ ‘P5’ มีขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซียที่ตกต่ำสุดในยุคหลังสงครามเย็น ในขณะที่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนก็ตึงเครียดหนักจากข้อพิพาทหลายด้าน
เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์คลังแสงนิวเคลียร์ของปักกิ่งในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจีนจะมีหัวรบนิวเคลียร์ถึง 700 หัวรบภายในปี 2027 และอาจจะเพิ่มเป็น 1,000 หัวรบภายในปี 2030
สหรัฐฯ พยายามเรียกร้องเรื่อยมาให้จีนเข้าร่วมลงนามสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ฉบับใหม่กับวอชิงตันและรัสเซีย
ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมอสโกกับชาติตะวันตกก็ทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่รัสเซียส่งทหารนับแสนนายเข้าประชิดพรมแดนยูเครน โดยมอสโกอ้างว่ามีสิทธิที่จะเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังที่ใดก็ได้ภายในดินแดนของตน หากมีความจำเป็น
เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (30 ธ.ค.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้เอ่ยเตือนประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียว่า การรุกรานยูเครนจะทำให้รัสเซียถูกโลกตะวันตกตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรขนานใหญ่ และบีบให้สหรัฐฯ ต้องเสริมกำลังทหารในยุโรป
สหรัฐฯ และรัสเซียเตรียมเปิดการประชุมด้านความมั่นคงในวันที่ 10 ม.ค.นี้ เพื่อหารือข้อกังวลต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมทางทหารของอีกฝ่าย และลดความตึงเครียดจากกรณียูเครน
ที่มา : รอยเตอร์