รอยเตอร์ - สหภาพยุโรปเรียกร้องให้นานาชาติคว่ำบาตรอาวุธกับรัฐบาลทหารพม่า และเพิ่มการคว่ำบาตรของตนเองให้เข้มงวดยิ่งขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่มากกว่า 30 คน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เหตุสังหารเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ในรัฐกะยา ที่กลุ่มติดอาวุธสนับสนุนประชาธิปไตยได้ต่อสู้กับกองทัพ ที่เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในเดือน ก.พ.
โจเซฟ บอร์เรลล์ ประธานฝ่ายนโยบายการต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่น่าตกใจที่กระทำโดยรัฐบาลทหารต่อพลเรือนและเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการให้รัฐบาลทหารรับผิดชอบ
“จากความรุนแรงที่ยกระดับขึ้นในพม่า จำเป็นที่จะต้องมีการดำเนินการป้องกันในระดับนานาชาติเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการห้ามค้าอาวุธ” บอร์เรลล์ กล่าว
บอร์เรลล์ ระบุว่า สหภาพยุโรปพร้อมที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัฐบาลทหาร
การเรียกร้องการคว่ำบาตรอาวุธของบอร์เรลล์ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการเรียกร้องของสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (28)
ชาติตะวันตกจำกัดอาวุธกับกองทัพพม่ามาเป็นเวลานานแล้ว แม้กระทั่งในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยก่อนการรัฐประหารที่เผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากการปราบปรามชนกลุ่มน้อยโรฮิงญา
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติในเดือน มิ.ย. ที่จะป้องกันไม่ให้มีการจัดส่งอาวุธเข้าไปในพม่า แต่มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงสัญลักษณ์ เนื่องจากคณะมนตรีความมั่นคงไม่ได้นำมาตรการดังกล่าวไปดำเนินการ
จีนและรัสเซีย ที่มีอำนาจยับยั้งในคณะมนตรีความมั่นคง ตลอดจนอินเดีย ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน เป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ให้พม่า
พม่าอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายนับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารในเดือน ก.พ. ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,300 คน จากการปราบปรามของกองกำลังความมั่นคง ตามการระบุของกลุ่มสังเกตการณ์ท้องถิ่น
นับตั้งแต่รัฐประหาร สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับกองทัพพม่า ผู้นำ และหน่วยงานต่างๆ
กลุ่มยังระงับความช่วยเหลือทางการเงินของสหภาพยุโรปกับรัฐบาลและระงับความช่วยเหลือที่อาจถูกมองว่าเป็นการทำให้รัฐบาลทหารชอบด้วยกฎหมาย
บอร์เรลล์ กล่าวว่า “การมุ่งเป้าโจมตีพลเรือนและผู้ที่ทำงานด้านมนุษยธรรมเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎหมายด้านมนุษยธรรม”
เขาเรียกร้องให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงประชาชนชาวพม่าอย่างเต็มรูปแบบ ปลอดภัย และไม่ถูกขัดขวาง และเรียกร้องการคุ้มครองอย่างเต็มรูปแบบสำหรับเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมและบุคลากรทางการแพทย์
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปกล่าวว่า กลุ่มจะยังคงให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนต่อไป.