ความเสี่ยงป่วยหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อตัวกลายพันธุ์โอมิครอนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อยู่ที่ราวๆ 1 ใน 3 ของตัวกลายพันธุ์เดลตา จากผลวิเคราะห์ของสหราชอาณาจักรที่เกี่ยวข้องกับเคสผู้ติดเชื้อทั้งสองสายพันธุ์มากกว่า 1 ล้านคนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกหนักหน่วงของโควิด-19 ซึ่งมีตัวกลายพันธุ์โอมิครอน ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมากเป็นตัวขับเคลื่อน โดยมีเคสผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 189,846 คนในวันศุกร์ (31 ธ.ค.)
ในขณะที่จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเริ่มสูงขึ้น รัฐบาลเชื่อว่าตัวกลายพันธุ์ใหม่ก่ออาการเจ็บป่วยเบากว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา
จำนวนคนไข้ที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจยังคงทรงตัวมาตลอดเดือนธันวาคม ต่างจากช่วงพีกสุดของการแพร่ระบาดระลอกก่อนๆ
ผลการวิเคราะห์นี้เผยแพร่โดยสำนักงานความมั่นคงทางสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร หลังจากพวกเขาดำเนินการวิจัยร่วมกับแผนก MRC Biostatistics แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในการวิเคราะห์ตัวอย่างเคสโอมิครอน 528,176 เคส และเคสเดลตา 573,012 ราย
นอกจากนี้ พวกเขายังพบด้วยว่าวัคซีนทำงานอย่างได้ผลกับตัวกลายพันธุ์โอมิครอน "ในการวิเคราะห์นี้ ความเสี่ยงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลลดต่ำลง สำหรับเคสติดเชื้อแบบโอมิครอนแบบแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการ หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และ 3 และความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลลดลงถึง 81% หลังฉีดเข็ม 3 หากเทียบกับคนที่ไม่ฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อโอมิครอน"
ซูซาน ฮ็อปกินส์ หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของสำนักงานความมั่นคงทางสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า ผลวิเคราะห์สอดคล้องกับสัญญาณต่างๆ ในทางบวกอื่นๆ เกี่ยวกับโอมิครอน แต่หน่วยงานสาธารณสุขยังคงประสบกับปัญหากับอัตราการแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมากเช่นนี้
"มันยังคงเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปใดๆ เกี่ยวกับอาการรุนแรงถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และด้วยโอมิครอนแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมากๆ และเคสผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในหมู่ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปในอังกฤษ มันจึงยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ระบบสาธารณสุขของอังกฤษจะเผชิญแรงกดดันมหึมาในช่วงปลายสัปดาห์ข้างหน้า"
ข้อมูลอัปเดตล่าสุดในวันศุกร์ (31 ธ.ค.) พบว่ามีคนไข้โควิด-19 รักษาตัวในโรงพยาบาลต่างๆ ในอังกฤษ จำนวน 12,395 คน เพิ่มขึ้นจากระดับ 11,542 คนในวันพฤหัสบดี (30 ธ.ค.) และยังคงอยู่ในแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่ามากจากระดับพีคสุดกว่า 34,000 คนในเดือนมกราคม
(ที่มา : รอยเตอร์)