องค์การอนามัยโลกเตือนเมื่อวันอังคาร (14 ธ.ค.) ตัวกลายพันธุ์โอมิครอนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่ระบาดในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และบางทีอาจลามสู่เกือบทุกประเทศทั่วโลกแล้ว พร้อมเรียกร้องชาติต่างๆ ลงมืออย่างรวดเร็วเพื่อสกัดการแพร่ระบาด
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวกลายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งถูกพบครั้งแรกโดยแอฟริกาใต้และรายงานไปยังองค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน มีการกลายพันธุ์มากมายหลายตำแหน่งและก่อความกังวลอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ที่มันปรากฏตัว
ข้อมูลในเบื้องต้นบ่งชี้ว่า มันสามารถต้านทานวัคซีนและแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งพบครั้งแรกในอินเดียและกำลังครองโลกอยู่ในปัจจุบัน
ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกบอกกับพวกผู้สื่อข่าว ได้รับรายงานพบตัวกลายพันธุ์โอมิครอนแล้วใน 77 ประเทศ และบางทีมันอาจแพร่ระบาดสู่ประเทศต่างๆ เกือบทั้งหมดโดยที่ยังตรวจไม่พบ "ในอัตราที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อนกับบรรดาตัวกลายพันธุ์ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะตัวไหนๆ"
แม้สหราชอาณาจักรยืนยันเมื่อวันจันทร์ (13 ธ.ค.) พบผู้เสียชีวิตที่เชื่อว่าเป็นเหยื่อตัวกลายพันธุ์โอมิคอนรายแรกของโลก แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าโอมิครอนก่ออาการรุนแรงกว่าในบรรดาผู้ติดเชื้อ
ในวันอังคาร (14 ธ.ค.) องค์การอนามัยโลกให้มุมมองในแง่ดีด้วยความระมัดระวัง ว่าแอฟริกาใต้พบเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำกว่าหากเปรียบเทียบกับการแพร่ระบาดหลายระลอกก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกเรียกร้องประเทศต่างๆ ให้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและปกป้องระบบสาธารณสุขของแต่ละชาติ พร้อมเตือนอย่าด่วนวางใจ "ถ้าเราด่วนสรุปว่ามันเป็นเชื้อที่ก่ออาการเล็กน้อย เมื่อนั้นเราก็วางตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก" บรูซ เอลวาร์ด ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกระบุ
นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังเตือนด้วยว่าภูมิภาคที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ ในนั้นรวมถึงแอฟริกา ดินแดนที่พบโอมิครอนเป็นครั้งแรก จะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของตัวกลายพันธุ์ใหม่ๆ
องค์การอนามัยโลกคาดหมายว่าแอฟริกาคงต้องใช้เวลาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2022 สำหรับฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมถึงระดับ 40% ของจำนวนประชากร และจนถึงเดือนสิงหาคม 2024 สำหรับฉีดให้ครอบคลุม 70% ของประชากร เนื่องจากประเทศอื่นๆ ที่มีอุปทานวัคซีนล้นเหลือต่างแข่งขันกันฉีดเข็ม 3 เพื่อสกัดตัวกลายพันธุ์โอมิครอน
ยุโรปกลับมาเป็นจุดล่อแหลมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่คิดเป็น 62% ของเคสผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งหมดทั่วโลกในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ในขณะที่ 5 อันดับแรกที่มีอัตราการติดเชื้อสูงสุดในโลก ล้วนแต่เป็นประเทศในยุโรป
เนเธอร์แลนด์เดินตามรอยประเทศอื่นๆ ของยุโรปในการกลับมาบังคับใช้ข้อจำกัดต่างๆ อีกครั้งในวันอังคาร (14 ธ.ค.) ในขณะที่นายกรัฐมนตรีมาร์ค รุตต์ ประกาศจะปิดการเรียนการสอนโรงเรียนระดับประถมในสัปดาห์หน้า และจะขยายล็อกดาวน์ยามค่ำคืนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับตัวกลายพันธุ์โอมิครอน
โรงเรียนจะปิดการเรียนการสอนตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม จากเดิมวันที่ 25 ธันวาคม สืบเนื่องจากความกังวลว่าเด็กๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอายุที่มีอัตราการติดเชื้อโควิด-19 สูงสุด อาจนำเชื้อไปแพร่สู่ญาติๆ คนชรา "แน่นอนว่าไม่มีข่าวสารแห่งความสุขอย่างที่เราหวังในขณะที่คริสต์มาสใกล้เข้ามา แต่มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ" รุตต์ กล่าว
ฝรั่งเศสเมื่อวันอังคาร (14 ธ.ค.) รายงานพบเคสผู้ติดเชื้อใหม่ 3,405 คน ถือเป็นตัวเลขรายวันสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน แม้ว่ามีประชาชนมากกว่า 77% ที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม
ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างสหราชอาณาจักร พรรคคอนเซอร์เวทีฟ พรรครัฐบาล เรียกร้องส.ส.ของตนเองอย่าก่อขบถต่อต้านข้อจำกัดรอบใหม่สกัดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยเน้นย้ำว่าประเทศแห่งนี้ต้องเร่งดำเนินการเพื่อสกัดไม่ให้ตัวกลายพันธุ์โอมิครอนหลุดจากการควบคุม
รัฐบาลของจอห์นสัน มีแผนบังคับใช้กฎระเบียบใหม่ๆ ด้านการสวมหน้ากาก ตรวจเชื้อทุกวันเพื่อหลีกเลี่ยงกักโรคและกำหนดใช้บัตรผ่านวัคซีนสำหรับบางสถานที่ในอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เขาถูกต่อต้านจากสมาชิกในพรรคเอง ที่หลายคนเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวนั้นเลยเถิดเกินไปและบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพพื้นฐาน
พวกนักวิทยาศาสตร์คาดหมายว่าตัวเลขที่แท้จริงของผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์โอมิครอนในสหราชอาณาจักร อาจสูงถึง 200,000 คนต่อวัน ในขณะที่ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ตรวจพบมีบุคคลที่เกี่ยวข้องติดเชื้อสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเสี่ยงก่อความวุ่นวายแก่โปรแกรมการแข่งขันเพิ่มเติม
(ที่มา : เอเอฟพี)