ซีริล รามาโฟซา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ มีผลตรวจเชื้อโควิด-19 ออกมาเป็นบวกเมื่อวันอาทิตย์ (12 ธ.ค.) และกำลังรักษาตัวจากอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ จากคำแถลงของทำเนียบประธานาธิบดี การติดเชื้อซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของตัวกลายพันธุ์โอมิครอนในประเทศของเขา
ถ้อยแถลงระบุว่า รามาโฟซา ซึ่งฉีดวัคซีนครบเข็มแล้วเริ่มรู้สึกไม่สบายขณะกำลังกลับจากไปร่วมรัฐพิธีระลึกถึง เอฟ.เว.เดอ แกลร์ก อดีตรองประธานาธิบดีผู้ล่วงลับ ในเมืองเคปทาวน์ ก่อนหน้านี้ในวันดียวกัน แต่เขามีกำลังใจดีและอยู่ภายใต้การสังเกตอาการของคณะแพทย์
ไม่มีรายงานเกี่ยวกับสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ รามาโฟซา ติดเชื้อ แต่มันเกิดขึ้นหลังจากตัวกลายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งมากถูกตรวจพบในแอฟริกาใต้เป็นแห่งแรก โหมกระพือความกังวลว่ามันอาจแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าตัวกลายพันธุ์อื่นๆ
ในระหว่างนี้ รามาโฟซา จะกักโรคตนเองอยู่ในเคปทาวน์ และได้มอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมดในสัปดาห์หน้าให้แก่ เดวิด มาบูซา รองประธานาธิบดี
ระหว่างเดินทางเยือน 4 ประเทศแถบแอฟริกาตะวันตกเมื่อเร็วๆ นี้ ประธานาธิบดีรามาโฟซา และคณะผู้แทนของแอฟริกาใต้ทั้งหมดได้เข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 ในทุกประเทศที่เดินทางไปเยือน ถ้อยแถลงระบุ
"ท่านประธานาธิบดีและคณะผู้แทนได้เดินทางกลับจากสาธารณรัฐเซเนกัลสู่แอฟริกาใต้เมื่อวันพุธที่ 8 ธันวาคม 2021 หลังจากมีผลตรวจเป็นลบ และท่านประธานาธิบดียังมีผลตรวจเป็นลบตอนที่ท่านเดินทางกลับไปโนฮันเนสเบิร์กในวันเดียวกัน"
ถ้อยแถลงอ้างคำกล่าวของ รามาโฟซา ระบุว่า การติดเชื้อของเขาในครั้งนี้ คือการส่งสัญญาณเตือนถึงพลเมืองทุกคนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนและอยู่ในความระมัดระวัง เพื่อป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ
"วัคซีนยังคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันอาการป่วยรุนแรงและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล" ถ้อยแถลงระบุ "คนที่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับประธานาธิบดี วันนี้ขอแนะนำให้เฝ้าระวังอาการหรือทำการตรวจเชื้อ" ถ้อยแถลงระบุ
แม้เคสผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์โอมิครอนกำลังถูกพบในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามันก่ออาการเจ็บป่วยรุนแรงหรือสามารถหลบหลีกวัคซีนได้มากน้อยแค่ไหน
ในคำวินิจฉัยเบื้องต้น องค์การยาแห่งยุโรประบุในวันพฤหัสบดี (9 ธ.ค.) ว่า โอมิครอนอาจก่ออาการเบากว่า หลังองค์การอนามัยโลกระบุก่อนหน้านั้นในช่วงต้นสัปดาห์ ว่ามีหลักฐานบางอย่างบ่งชี้ว่า โอมิครอนก่ออาการเจ็บป่วยเล็กน้อยกว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นสายพันธุ์หลักของโลก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ส รายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในแอฟริกาเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์โอมิครอน แต่จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในแอฟริกาใต้ ประเทศที่พบตัวกลายพันธุ์นี้เป็นแห่งแรกยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ในแถลงสรุปทางออนไลน์รายสัปดาห์ องค์การอนามัยโลกสาขาแอฟริกา ระบุว่าทวีปแห่งนี้พบเคสผู้ติดเชื้ออีก 107,000 รายในสัปดาห์จนถึงวันอาทิตย์ที่ 5 ธ.ค. เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากระดับ 55,000 คนในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านั้น
"โอมิครอนไปถึงประเทศต่างๆ ในแอฟริกามากขึ้น" ถ้อยแถลงระบุ พร้อมกล่าวว่าได้มีการยกระดับงานวิจัยเพื่อดูว่าตัวกลายพันธุ์นี้อยู่เบื้องหลังเคสผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นหรือไม่
ข้อมูลบ่งชี้ว่า เคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาคทางใต้ของทวีป เฉลี่ยแล้ว 140% อย่างไรก็ตาม ในแอฟริกาใต้ ประเทศที่พบตัวกลายพันธุ์โอมิครอนเมื่อเดือนที่แล้ว "เคสอาการรุนแรงยังคงอยู่ในระดับต่ำ" องค์การอนามัยโลกระบุในถ้อยแถลง
องค์การอนามัยโลกเน้นย้ำว่า พวกเขาคัดค้านข้อจำกัดด้านการเดินทาง ซึ่งจนถึงตอนนี้ประกาศบังคับใช้แล้วมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และมีเป้าหมายที่ไปประเทศต่างๆ ในพื้นที่ทางใต้ของแอฟริกา แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะให้ข้อมูลด้วยความโปร่งใสก็ตาม
นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังเรียกร้องประเทศต่างๆ ยกระดับฉีดวัคซีน เนื่องจากจนถึงตอนนี้มีแค่ 7.8% จากประชากรทั้งหมด 1,200 ล้านคนทั่วทวีป ที่ได้ฉีดวัคซีนแล้ว โดยชาติที่ล้าหลังประเทศอื่นๆ มากที่สุดในโครงการฉีดวัคซีนคือชาด จิบูตี และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
(ที่มา : เอเอฟพี)