เกาหลีเหนือ กับเกาหลีใต้ ต่างฝ่ายต่างทดสอบยิงขีปนาวุธทิ้งตัว (ballistic missile) ในวันพุธ (15 ก.ย.) เป็นการแสดงแสนยานุภาพประชันกันครั้งล่าสุด ขณะที่ประเทศทั้งสองต่างกำลังพัฒนาอาวุธที่มีความประณีตซับซ้อนมากขึ้นรื่อยๆ ทว่าความพยายามในการเจรจาเพื่อปลดชนวนความตึงเครียดกลับไม่บังเกิดผลอะไรขึ้นมา
เกาหลีใต้ประกาศว่าการทดสอบยิงขีปนาวุธทิ้งตัวแบบปล่อยจากเรือดำน้ำ (submarine-launched ballistic missile หรือ SLBM) ในครั้งนี้ของตนประสบความสำเร็จ โดยสามารถพุ่งเข้าสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนั้น จึงทำให้โสมขาวกลายเป็นประเทศแรกที่ไม่ได้มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งสามารถพัฒนาระบบอาวุธประเภทนี้ได้
ข่าวบอกว่า ประธานาธิบดีบัน คีมุน ของเกาหลีใต้ กำลังเข้าร่วมชมการยิงทดสอบอยู่พอดี ตอนที่มีข่าวออกมาเกี่ยวกับการยิงของฝ่ายเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นการทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวครั้งแรกของโสมแดงนับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา
ตามรายงานของพวกเจ้าหน้าที่ทั้งในเกาหลีใต้และในญี่ปุ่น ในคราวนี้เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธทิ้งตัวรวม 2 ลูก ซึ่งตกลงในทะเลนอกชายฝั่งด้านตะวันออกของโสมแดง โดยที่เพียงไม่กี่วันก่อน เปียงยางก็เพิ่งทดสอบยิงขีปนาวุธร่อน (cruise missile) พิสัยไกลเป็นครั้งแรกของตน ซึ่งเชื่อกันว่ามีสมรรถนะติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้
กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นแถลงในคืนวันพุธ (15) ว่า ขีปนาวุธของโสมแดงทั้ง 2 ลูก ตกลงภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของญี่ปุ่น ตรงกันข้ามกับที่พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลแดนอาทิตย์อุทัยเคยออกความเห็นกันก่อนหน้านี้ที่ว่า มันตกลงนอกน่านน้ำของญี่ปุ่น
เกาหลีเหนือยังคงพัฒนาระบบอาวุธของตนอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่เกิดการชะงักงันในการเจรจาซึ่งมุ่งหมายที่จะให้เปียงยางยอมทำลายคลังอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธนำวิถี แลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯ จะยอมผ่อนผันมาตรการแซงก์ชัน ทั้งนี้ การเจรจาเรื่องนี้ ซึ่งระลอกล่าสุดริเริ่มขึ้นมาด้วยการตกลงกันระหว่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน เมื่อปี 2018 อยู่ในอาการหยุดนิ่งมาตั้งแต่ปี 2019
“เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธทิ้งตัวที่ยังไม่ทราบว่าเป็นรุ่นใด จำนวน 2 ลูก จากเขตตอนในบริเวณภาคกลางของพวกเขามุ่งหน้าสู่ชายฝั่งภาคตะวันออก เวลานี้พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านข่าวกรองของเกาหลีใต้และสหรัฐฯกำลังดำเนินการวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม” สำนักงานเสนาธิการทหารร่วม (JCS) ของเกาหลีใต้ระบุในคำแถลง
ตามรายงานของ JCS ขีปนาวุธเหล่านี้ถูกยิงเมื่อเวลาหลัง 12.30 น.เล็กน้อย และเคลื่อนที่เป็นระยะทาง 800 กิโลเมตร ไปสู่ระดับคตวามสูงสูงสุดที่ 60 กิโลเมตร
ใครจะเป็น “เกาหลีที่เข้มแข็งที่สุด”?
ทางด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แถลงประณามการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยบอกว่าเป็นการละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหลายฉบับ และเป็นการแสดงท่าทีคุกคามต่อเหล่าชาติเพื่อนบ้านของเปียงยาง แต่โฆษกผู้นี้ไม่พูดถึงการยิงทดสอบของฝ่ายเกาหลีใต้
ขณะที่กองบัญชาการทหารภาคอินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ แถลงว่า การยิงขีปนาวุธของโสมแดงคราวนี้ ไม่ได้เป็นการสร้างภัยคุกคามในเฉพาะหน้าต่อบุคลากร ดินแดน หรือพวกพันธมิตรของสหรัฐฯ หากแต่เป็นการตอกย้ำว่า โครงการอาวุธที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศของเกาหลีเหนือ กำลังส่งผลกระทบในทางสั่นคลอนเสถียรภาพ
สำหรับนายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ ซูงะ ของญี่ปุ่น พูดถึงการยิงขีปนาวุธคราวนี้ว่า “เป็นการระรานสร้างความขุ่นเคือง” พร้อมกับประณามว่าเป็นภัยคุกคามสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคแถบนี้
ส่วนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน เจ้า ลี่เจียน กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันตามปกติว่า จีนหวังว่า “ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง” จะ “แสดงความอดทนอดกลั้น”
เกาหลีใต้นั้นกำลังทุ่มเทงบประมาณไปในระบบอาวุธใหม่ๆ จำนวนหนึ่ง เป็นต้นว่า ขีปนาวุธทิ้งตัว เรือดำน้ำ รวมทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของตน ถึงแม้โซลประกาศอย่างชัดเจนว่ายังคงยึดมั่นนโยบายไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นเขตปลอดนิวเคลียร์
รามอน ปาเชโก ปาร์โด ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกาหลี ที่ คิงส์คอลเลจ ในกรุงลอนดอน ให้ความเห็นว่า การแข่งขันด้านอาวุธของฝ่ายโสมขาวทวีความคึกคักมากขึ้นในยุคของประธานาธิบดีมุน ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ เป็นต้นว่า การที่เขามุ่งผลักดันให้นโยบายการต่างประเทศของเกาหลีใต้มีอิสระมากขึ้น ความกังวลใจว่าจะพึ่งพาสหรัฐฯ ได้มากน้อยแค่น้อย ภายหลังความอลหม่านหวั่นผวาในสมัยแห่งการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ ตลอดจนการพัฒนาทางด้านการทหารทั้งของเกาหลีเหนือและของจีน
เขากล่าวต่อไปว่า เกาหลีใต้จะต้องเผชิญอุปสรรคมากมายในทางการเมืองและทางกฎหมาย ทั้งภายในและภายนอกโสมขาว หากคิดจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ด้วยเหตุนี้ เกาหลีใต้จะมุ่งพัฒนาสมรรถนะอย่างอื่นๆ เพื่อใช้มาป้องปรามเกาหลีเหนือ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า “ใครคือเกาหลีที่มีความเข้มแข็งที่สุด”
ประธานาธิบดีมุน หยิบยกเอาเรื่องที่เกาหลีเหนือติดอาวุธนิวเคลียร์ โดยเป็นการมุ่งสร้าง “สมรรถนะแบบอสมมาตร” (asymmetric capabilities) มาเป็นเหตุผลอธิบายว่า เกาหลีใต้จึงต้องพัฒนาขีปนาวุธของตนให้ดีขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน
“การส่งเสริมเพิ่มพูนสมรรถนะด้านขีปนาวุธของเรา คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับเป็นการป้องปรามการยั่วยุวางอำนาจของเกาหลีเหนือ” เขากล่าว ขณะที่ย้ำด้วยว่า การทดสอบ SLBM ของเกาหลีใต้ในวันพุธ เป็นเรื่องที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่ใช่มุ่งตอบโต้การยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
(ที่มา : รอยเตอร์, เอพี)