วันนี้...สงสัยต้องเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องการเมือง การทหาร การอพยพผู้คนในดินแดน “อัฟกานิสถาน” ที่ยังคงนุงนัง นัวเนีย ไม่แล้วเสร็จ ล่าสุด...เห็นว่ายังเกิดการ “บึ้มม์ม์ม์” กันในกรุงคาบูล ชนิดเด็กๆ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ดันต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ตามไปด้วยอีกจนได้ เพราะความไม่เอาอ่าว ไม่เอาไหน ความเละเทอะ เลอะเทะ ของบรรดานักการเมือง ผู้นำทางการเมือง ในการกำหนดแนวทางและกรรมวิธีต่างๆ นั่นเอง...
ดังนั้น...น่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศมาดูการวางหมาก วางเกม วางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ในแบบที่อาจพอสะท้อนให้เห็นถึงความตื้น-ไม่ตื้น ฉลาด-ไม่ฉลาด ลึก-ไม่ลึก ของบรรดาผู้กำหนดวิเทโศบายทางการเมืองในระดับระหว่างประเทศ หรือกระทั่งในระดับโลกกันดูมั่ง โดยอาศัยฉากสถานการณ์ใน “แนวรบทะเลจีนใต้” นั่นแหละเป็นหลัก เพราะไม่เพียงแต่ในช่วงหลังๆ หรือกระทั่งก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ที่ผู้นำโลก มหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา ท่านถือเป็น “แนวรบ” ด้านสำคัญเอามากๆ ถึงขั้นกะจะเข้ามา “ปักหมุดในเอเชีย” (Pivot to Asia) ตั้งแต่ยุค “นางฮิลลารี คลินตัน” ยุคอดีตประธานาธิบดี “โอมาบ้า” (โอบามา) โน่นเลย...
และก็คงเช่นเดียวกับคุณปู่ “โจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดียุคโอมาบ้า ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันในทุกวันนี้ การดำเนินรอยตาม “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของ “ทรัมป์บ้า” การส่งรัฐมนตรีกลาโหม “พลเอกลอยด์ ออสติน” และ รองประธานาธิบดี “กมลา แฮร์ริส” เข้ามาเยือนเอเชียและอาเซียนเที่ยวแล้ว-เที่ยวเล่า โดยระบุเอาไว้ชัดเจนประมาณว่า หลังจากได้ “เคลียร์” เรื่องอัฟกานิสถานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะได้เวลา “บุกเอเชีย” หรือบุกแนวรบทะเลจีนใต้ เพื่อหวังจะทำให้นโยบาย “เสรีภาพแห่งการเดินเรือ” เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาให้จงได้ ไม่ยอมปล่อยให้มหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนสามารถแสดงอาการข่มขู่ คุกคาม บรรดาประเทศในภูมิภาคนี้ได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอาณาบริเวณที่สามารถนำไปใช้เป็นเงื่อนไข ข้ออ้าง ในการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ประเทศจีนได้โดยเฉพาะ อย่างเกาะไต้หวัน เป็นต้น...
ด้วยเหตุนี้...ก็จึงไม่ถึงกับถือเป็นเรื่องแปลก!!! ที่จะเกิดการส่งเรือรบ เรือพิฆาต หรือแม้แต่ “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ฯลฯ ของคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรในประเทศต่างๆ เข้ามาแล่นฉวัดเฉวียนไป-มา ในทะเลจีนใต้ หรือในช่องแคบไต้หวัน กันชนิดแทบ 3 เวลาหลังอาหาร นั่นยังไม่รวมไปถึงเครื่องบินโจมตี เครื่องบินลำเลียง สอดแนม และเครื่องบินทิ้งระเบิด ที่บินไป-บินมาอยู่ในน่านฟ้าไต้หวัน เผลอๆ...อาจลงจอด นำเอาตัวแทน ผู้แทนทางการเมืองในแต่ละระดับของสหรัฐฯ เข้ามาเยี่ยมเยียนหัวกระไดของไต้หวัน ชนิดเปียกโชกไปเป็นเทือกๆ หรือมุ่งที่จะ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน ให้นอตหลุด นอตหลวม ขึ้นมาให้จงได้ รวมทั้งเพื่อให้บรรดาพันธมิตร หรือผู้ที่หวังอยากจะให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในเอเชีย ไม่ว่า “QUAD” หรือ “QUAD-Plus” ก็แล้วแต่ รวมไปถึงบรรดาชาวไต้หวันที่คิดจะแยกตัวเป็น “เอกราช” จากจีน พอได้เกิดความคึกๆ คักๆ กระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมามั่ง...
คืออย่างที่ “นายHu Xijin” หัวหน้ากองบรรณาธิการ “Global Times” แกเขียนเอาไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดนั่นแหละว่า การนำเอาเรือใดๆ ก็ตาม มาแล่นไป-แล่นมาอยู่ในน่านน้ำสากล หรือในช่องแคบไต้หวันก็ตามที อันที่จริงต้องถือเป็นเรื่อง “ปกติธรรมดา” หรือเป็น “เสรีภาพในการเดินเรือ” อยู่แล้วแน่ๆ แต่การขนเอาเรือรบ เรือพิฆาต หรือกระทั่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เข้ามาแล่นไป-แล่นมา ในพื้นที่ที่ถูกอ้าง ถูกถือเป็นอำนาจอธิปไตยของประเทศอื่นๆ ย่อมแทบไม่ต่างอะไรไปจากการแสดงออกถึงความหมายในทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” หรือต้องเกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่องการมง-การเมือง อย่างมิอาจปฏิเสธได้ การส่งเรือรบอเมริกันเข้ามาแล่นไป-แล่นมาในช่องแคบไต้หวันถึง 8 ครั้งเข้าไปแล้ว โดยครั้งล่าสุด...ก็คือเรือพิฆาตติดขีปนาวุธ “USS Kidd” และ “USCG Munro cutter” เมื่อช่วงวันศุกร์ (27 ส.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ย่อมไม่ได้คิดแค่มาตกปลา หาปลา อยู่แล้วแน่ๆ แต่มุ่งที่จะ “กระตุ้นและยั่วยุ” กองทัพปลดแอกประชาชนจีนกันโดยเฉพาะ รวมทั้งมุ่งที่จะทำให้เกาะเล็กๆ อย่างไต้หวัน ที่ถูกถือเป็นส่วนหนึ่งของจีน เกิดความมั่นอก-มั่นใจว่ายังไงๆ คงต้องได้รับการช่วยเหลือจากคุณพ่ออเมริกาอยู่แล้วแน่ๆ ถ้าหากจีนเกิดคิดบุกไต้หวัน รวมไต้หวัน ด้วยกำลังทหารขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ตาม...
แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งที่จีนได้นำมารับมือกับยุทธศาสตร์การ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ในลักษณะเช่นนี้ ก็คือการ “ซ้อมรบ” และการ “เตรียมพร้อมขั้นสูงสุด” ในแต่ละครั้ง แต่ละครา โดยไม่คิดจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไม่นอตหลุด นอตหลวม โดยเด็ดขาด ยิ่งโดนยั่ว ก็ยิ่งซ้อมรบ ชนิดแทบกลายเป็นการ “ซ้อมรบตลอดกาล” ไปแล้วก็ว่าได้ แถมบางครั้ง-บางครา...ซ้อมลึกเข้าไปในแถบน่านน้ำญี่ปุ่น พันธมิตรรายสำคัญของอเมริกาและไต้หวันอีกต่างหาก หรือเลยไปแถวๆ ช่องแคบ “Miyako” ระหว่างเกาะแห่งนี้กับเกาะโอกินาวา ไม่ก็ส่งเครื่องบินโจมตี เครื่องบินทิ้งระเบิด แล่นเข้าไปในน่านฟ้าไต้หวัน ในเขตแสดงตน เขต “ADIZ” (Air Defense Identification Zone) ที่ไต้หวันเขาขีดเส้นเอาไว้ และนั่นเอง...ที่ทำให้การ “ซ้อมรบ” หรือการ “เตรียมพร้อมขั้นสูงสุด” ของจีน จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการยกระดับและพัฒนากำลังรบของตัวเองไปโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องไปฟัด ไปเหวี่ยงกันในทะเลลึกของแปซิฟิก หรือมหาสมุทรอินเดีย ให้ต้องเสียแรง เสียพลังงาน โดยใช่เหตุ...
ด้วยเหตุเพราะการปะทะกันระหว่าง “มหาอำนาจต่อมหาอำนาจ” นั้น...มันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในทางทหารแต่เพียงล้วนๆ แต่ยังมีแนวรบด้านอื่นๆไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง การทูต หรือแม้แต่แนวรบด้านสังคมจิตวิทยา ฯลฯ ที่ต้องวางหมาก วางเกมกันอีกเยอะ ดังนั้น...การฝึกรบ ซ้อมรบ ของจีน ไปจนการเตรียมพร้อมขั้นสูงสุดในแต่ละครั้ง แต่ละครา ที่ถูกอเมริกาเข้ามายั่วยวนกวนส้นตีนกันถึงที่ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจจีนกำลังใกล้จะแซงหน้าอเมริกาแบบชนิดรอมร่อ ท่ามกลางภาวะที่บทบาททางการเมืองและการทูตอเมริกา ชักจะเสียหมา เสียสุนัข ยิ่งเข้าไปทุกที และท่ามกลางภาวะที่ขีดความสามารถทางนิวเคลียร์ของจีนซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อผูกพันใดๆ กับอเมริกา ก่อให้เกิดความอับตันต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงอเมริกายิ่งเข้าไปทุกขณะ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ความพยายาม “บุกเอเชีย” หรือ “บุกแนวรบทะเลจีนใต้” ของอเมริกา กลับไม่ได้ก่อให้เกิดการตอบสนองต่อ “จุดมุ่งหมายทางยุทธศาสตร์” ของตัวเองเอาเลยแม้แต่น้อย หรือพูดง่ายๆ ว่า...ขณะที่อเมริกาพยายามฉุดกระชากลากถูให้จีนลงมาเล่น “หมากรุก” แต่คุณพี่จีนดันหันไปเล่น “หมากล้อม” กันไปซะนี่!!!
หรืออย่างที่หัวหน้ากองบรรณาธิการ “Global Times” “นายHu Xijin” แกได้ว่าเอาไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “The better China is prepared for war, the more it can crush USS-DPP collusion” หรือยิ่งจีนเตรียมพร้อมสำหรับสงครามมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้การสมคบคิดระหว่างอเมริกากับพรรค DPP ของไต้หวัน ยิ่งต้องถูกบดขยี้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ด้วยข้อความที่ระบุไว้ว่า “โดยพิชัยสงครามของจีนนั้น...มุ่งที่จะทำให้ศัตรูอ่อนแอโดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้” อะไรประมาณนั้น การคิดจะ “ปักหมุดในเอเชีย” การเร่งระดมควานหา “พันธมิตรในเอเชีย” ไม่ว่าอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ไปยันถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็แล้วแต่ เพื่อให้ร่วมแบกรับภาระต่อต้านและปิดล้อมมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนกันโดยเฉพาะ ขณะที่ตัวเองดันไปถีบทิ้ง ถีบหัวเรือส่ง ประเทศเล็กๆ จนๆ อย่างอัฟกานิสถาน โดยไม่คิด “รับผิดชอบ” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของชาวอัฟกานิสถาน หรือแม้แต่ชีวิตทหารอเมริกันด้วยกันเอง ที่ต้องเสียเลือด-เสียเนื้อ เสียเงิน-เสียทอง และเสียเวลาไปร่วม 20 ปี แถมยังสะบัดทวารหนีโดยไม่คิดจะหารือกับพันธมิตรผู้เคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอด อย่าง “นาโต” ซะอีกด้วยต่างหาก อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่อาจส่งผลให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา อาจถึงขั้นต้องจนมุม หรือต้อง “แพ้กลางกระดาน” อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที…