xs
xsm
sm
md
lg

‘ไบเดน’ดูไว้ ‘ปักกิ่ง’ก็สามารถเล่นบทป่วนอเมริกันในตะวันออกกลางได้เช่นกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สเปงเกลอร์ (เดวิด พี. โกลด์แมน)


รัฐมนตรีต่างประเทศ โมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ ของอิหร่าน และ รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน แลกเปลี่ยนเอกสารข้อตกลงที่ต่างฝ่ายต่างลงนามแล้ว ในพิธีเซ็นข้อตกลงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์อายุ 25 ปี ที่กรุงเตหะราน วันที่ 27 มีนาคม
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)

China shows it too can play rough in the Middle East
By SPENGLER (DAVID P. GOLDMAN)
27/03/2021

จีนกำลังเพิ่มบทบาทอย่างแข็งขันในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน, ตุรกี, หรือกระทั่งอิสราเอล และปาเลสไตน์ ขณะที่คณะบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดน กลับแสดงอาการวางโตอย่างเลอะเทอะในการเริ่มติดต่อมีปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกสุดกับภูมิภาคนี้

อิทธิพลของอเมริกันในจุดสำคัญหลักๆ ของมหาทวีปยูเรเชียเป็นจำนวนมากทีเดียวอยู่ในภาวะที่เปราะบางอ่อนแอ และจีนก็มีศักยภาพที่จะสร้างความเจ็บปวดยากลำบากให้แก่สหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้ความพยายามของอเมริกันที่จะสร้างกลุ่มพันธมิตรขึ้นมาปิดล้อมแดนมังกร

ถ้อยคำวาจาที่จีนใช้มีความแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในระยะไม่กี่สัปดาห์หลังๆ มานี้ แถมยังดูเหมือนพรักพร้อมที่จะหนุนหลังคำพูดโวหารเหล่านั้นด้วยการลงมือกระทำอะไรต่างๆ อย่างหนักแน่นขึงขังอีกด้วย

เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา จีนกับอิหร่านได้ร่วมลงนามอย่างเป็นทางการในข้อตกลง “ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” (Comprehensive Strategic Partnership) ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหามุ่งวางกรอบความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายทั้งในทางเศรษฐกิจ, การเมือง, และการค้า ในช่วงระยะเวลา 25 ปีจากนี้ไป ทั้งนี้ตามรายงานของสื่อทางการอิหร่าน

“เอกสารฉบับนี้สามารถที่จะยกระดับความผูกพันทวิภาคีให้ขึ้นสู่ระดับทางยุทธศาสตร์ระดับใหม่” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ซาอีด คาติบซาเดห์ (Saeed Khatibzadeh) กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ข้อตกลงคราวนี้ ซึ่งมีการเจรจาจัดทำกันมาตั้งแต่ปี 2016 และเกิดขึ้นขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญการแซงก์ชั่นจากสหรัฐฯ จะเพิ่มพูนสายสัมพันธ์ต่างๆ ของภาคเอกชน ซึ่งรวมไปถึงความสัมพันธ์ผ่านแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของจีนด้วย โฆษกผู้นี้กล่าว

เมื่อตอนที่มีข่าวเรื่องทั้งสองประเทศตกลงทำดีลฉบับนี้กันได้ในเดือนสิงหาคม 2020 นั้น ผมได้เขียนเอาไว้ว่า “ลู่ทางอนาคตของดีลที่จะทำกับอิหร่านนี้ คือการเดินหมากตาหนึ่งบนเกมหมากกระดานระดับโลก เพื่อเป็นการตอบโต้ความพยายามต่างๆ นานาของฝ่ายอเมริกันที่จะหน่วงรั้งไม่ให้จีนฟันฝ่าขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจทางเทคโนโลยีรายหนึ่งได้สำเร็จ” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asiatimes.com/2020/08/pax-sinica-in-the-middle-east-revisited/)

มีข่าวลือมาเป็นเวลานานแล้วเกี่ยวกับข้อตกลงการลงทุนฉบับสำคัญระหว่างจีนกับอิหร่าน และบางทีมันน่าจะไม่ใช่เหตุบังเอิญเลยในการที่รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน เดินทางไปกรุงเตหะรานเพื่อลงนามดีลนี้ในห้วงเวลา 1 สัปดาห์หลังจากเกิดการปะทะคารมกันอย่างเผ็ดร้อนในที่ประชุมระดับรัฐมนตรีระหว่างสหรัฐฯกับจีน ณ เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา

จีนกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนมาถึงคณะบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่า แผนการทั้งหลายของทางฝ่ายไบเดนสำหรับการรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านขึ้นมาใหม่ ตลอดจนความสามารถของสหรัฐฯในการออกแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายจีนจะให้ความร่วมมือมากน้อยแค่ไหน

อย่างที่ผมเขียนเอาไว้ในข้อเขียนอีกชิ้นหนึ่งเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ดูได้ที่ https://asiatimes.com/2021/02/a-pax-sinica-takes-shape-in-the-middle-east/) พวกนักวิเคราะห์ชาวจีนพากันเชียร์การพบปะหารือกันในวันที่ 13 มกราคมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของปากีสถานกับรัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกี โดยยกย่องว่าเป็นการเริ่มต้นของการทำข้อตกลงเพื่อความเข้าใจกันในระดับภูมิภาค (regional
entente)) พร้อมกับเสริมด้วยว่า “อิหร่านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาทางเข้าร่วมในค่ายตุรกี-ปากีสถานนี้”

ในข้อเขียนแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อของทางการหลายๆ ชิ้น พวกนักวิเคราะห์ด้านการทหารชาวจีนได้วาดภาพคาดการณ์ว่าจะมีข้อตกลงระหว่างตุรกี-อิหร่าน-ปากีสถานภายใต้อิทธิพลผลักดันของจีน โดยที่ 3 ประเทศนี้รวมกันแล้วจะมีประชากรราวๆ 300 ล้านคน และเป็นเกือบทั้งหมดของกำลังแรงงานมีคุณภาพทางเทคนิคของโลกมุสลิม

จีนยังมีวัตถุประสงค์สำคัญอีกประการหนึ่ง ได้แก่การบั่นทอนกำลังใจของอินเดียในการเข้าร่วมมือกับกลุ่ม “คว็อด” (Quad) ที่มีอเมริกาเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ (และมีออสเตรเลียกับญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) ในการปิดล้อมจีน ถ้าหากอิหร่านเห็นดีเห็นงามกับข้อตกลงเพื่อความเข้าใจกันตุรกี-ปากีสถาน ตามที่พวกนักยุทธศาสตร์ชาวจีนคาดการณ์แล้ว อินเดียก็จะตกอยู่ในภาวะถูกโดดเดี่ยว ทั้งนี้ที่ผ่านมาอินเดียพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์กับอิหร่านซึ่งเป็นมุสลิมชีอะห์ เพื่อใช้คานอำนาจกับปากีสถานที่เป็นมุสลิมสุหนี่

จีนนั้นได้เพิ่มการนำเข้าน้ำมันอิหร่านอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังไปเรียบร้อยแล้ว โดยใช้วิธีเปลี่ยนให้กลายเป็นสินค้าที่ขนส่งมาจากมาเลเซียตลอดจนจากประเทศนำเข้าอื่นๆ ทั้งนี้ตามรายงานข่าวหลายกระแส เมื่อปีที่แล้วจีนนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านหล่นลงมาอยู่ที่ใกล้ๆ เป็นศูนย์ เห็นได้ชัดว่าปักกิ่งตัดสินใจที่จะปรับปรุงสายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับเตหะรานในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

เวลาเดียวกันนั้น ตุรกีก็อยู่ในสภาพต้องพึ่งพาอาศัยจีนมากขึ้น ขณะที่ค่าเงินตราของตนอ่อนลงอย่างฮวบฮาบ และประเทศกำลังขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ

ประธานาธิบดีเรเจป ตอยยิบ แอร์โดอัน ของประเทศนี้ ซึ่งอารมณ์ปรวนแปรขึ้นลงรวดเร็ว ได้ปลดผู้ว่าการแบงก์ชาติไปตอนกลางเดือนมีนาคม ส่งผลให้ค่าเงินลีราตุรกีหดหายไปราวๆ 10% ทีเดียว

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม สำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่า กิจการซึ่งเกิดจากการรวมตัวของพวกแบงก์จีนเตรียมที่จะปล่อยกู้เป็นจำนวน 2,300 ล้านดอลลาร์ให้แก่ตุรกี เพื่อเดินหน้าโครงการสร้างสะพานและทางด่วนพิเศษในเมืองอิสตันบุลที่ชะงักงันอยู่ ถือเป็นสัญญาทางการเงินรายใหญ่ที่สุดเท่าที่จีนปล่อยออกไปในตุรกีเวลานี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-03-26/chinese-banks-are-said-to-back-turkey-deal-disrupted-by-pandemic)

ลู่ทางโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากจีนเช่นนี้ ปรากฏออกมาขณะที่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ตุรกีอยู่ในจังหวะเวลาที่บอบบางละเอียดอ่อนอย่างสุดๆ คณะบริหารไบเดนได้โยกย้ายสถานที่ใช้เจรจาสันติภาพกับกลุ่มตอลิบานของอัฟกานิสถาน จากกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ มาที่อังการา เมืองหลวงของตุรกี ด้วยความหวังว่าระบอบปกครองซึ่งพวกอิสลามิสต์ครองอำนาจอยู่ของตุรกีจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้น

คณะบริหารไบเดนนั้นกำลังถูกกดดันหนักให้ถอนกำลังทหารเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน โดยที่คณะบริหารทรัมป์ได้ให้สัญญาเอาไว้แล้วด้วยซ้ำในการทำดีลกับกลุ่มตอลิบาน
ว่าจะมีการถอนออกมาทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคมนี้

แดร์ ชปิเกล (Der Spiegel) เว็บไซต์ข่าวใหญ่ที่สุดของเยอรมนี รายงานว่า เบอร์ลิน ซึ่งมีกำลังทหารขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกองทหารองค์การนาโต้ที่ประจำอยู่ที่อัฟกานิสถานเวลานี้ รู้สึกโกรธกริ้วกับความเคลื่อนไหวของอเมริกันในการย้ายที่เจรจาจากกาตาร์มายังตุรกี โดยไม่ได้แจ้งให้รับรู้กันก่อน และพวกเจ้าหน้าที่เยอรมันเพิ่งทราบเรื่องทีแรกสุดจากข่าวของสื่อมวลชน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.spiegel.de/politik/antony-blinken-bei-der-nato-ende-des-honeymoons-a-ca3ff4fe-d6ca-4faf-8aa8-a0e20d6011c5)

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การหารือกันเป็นครั้งแรกระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ โทนี บลิงเคน ของสหรัฐฯ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ เมฟลุต คาวูโซกลู (Mevlut Cavusoglu) ของตุรกี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ปรากฏว่าดำเนินไปอย่างย่ำแย่ ดังที่ อัมเบริน ซามาน (Amberin Zaman) รายงานเอาไว้ใน อัล-มอนิเตอร์ (Al-Monitor) (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.al-monitor.com/originals/2021/03/blinkens-first-meeting-turkish-counterpart-yields-little)

ตุรกีเวลานี้ต้องการให้เลื่อนการเจรจาครั้งแรกระหว่างรัฐบาลอัฟกันกับกลุ่มตอลิบานจากเดือนเมษายนไปเป็นเดือนพฤษภาคม ซึ่งดูเหมือนว่าเพื่อเป็นการเพิ่มแรงกดดันแก่วอชิงตัน ตุรกีนั้นมีข้อเรียกร้องจำนวนหนึ่งต่อวอชิงตัน ไล่ตั้งแต่เรื่องที่ฝ่ายอเมริกันคัดค้านการที่ตุรกีซื้อระบบป้องกันทางอากาศแบบ เอส-400 จากรัสเซีย ไปจนถึงการที่สหรัฐฯฟ้องร้องกล่าวโทษธนาคารฮัลค์แบงก์ (Halkbank) ของตุรกี ด้วยข้อหาละเมิดมาตรการแซงก์ชั่นอิหร่าน

ยังมีพัฒนาการแยกต่างหากออกไปซึ่งน่าสนใจจับตามองอีกประการหนึ่ง ได้แก่การที่จีนเสนอจะจัดการประชุมขึ้นที่ปักกิ่ง โดยเชิญคณะผู้แทนจากอิสราเอลและจากปาเลสไตน์เข้าร่วม อันเป็นการยืนกรานว่าจีนจะมีบทบาทในการเจรจาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ที่ผ่านมาปักกิ่งใช้ท่าทีเก็บเนื้อเก็บตัวในประเด็นปัญหานี้ ดังนั้นข้อเสนอจะจัดการประชุมเช่นนี้ขึ้นมาจึงเป็นการชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นยืนกรานที่เกิดขึ้นใหม่

การที่จีนกำลังเริ่มใช้ท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นในตะวันออกกลางเช่นนี้ โดยภาพรวมแล้วอาจจะสร้างความเสียหายให้ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาถึงท่าทีวางโตอย่างเลอะเทอะของทีมไบเดน

ในการติดต่อมีปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกสุดของคณะบริหารใหม่นี้กับอินเดีย ออกมาในรูปแบบที่มีการข่มขู่จะแซงก์ชั่นแดนภารตะ จากการที่นิวเดลีเสนอขอซื้อระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย การข่มขู่ดังกล่าวนี้กระทำเมื่อวันที่ 19 มีนาคม โดยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน (Lloyd Austin) ผู้กำลังเดินทางไปเยือนอินเดีย ทั้งนี้รัฐมนตรีผู้นี้เอง ที่ประธานาธิบดีไบเดนได้บอกกล่าวเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ของเขาขณะพูดแนะนำต่อสาธารณชนว่า “คนที่ดูแลหน่วยงานนั่นตรงโน้น” (“the guy who runs that outfit over there,”) [1] 

เวลาใกล้เคียงกัน ไบเดนยังได้ประณามประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ว่าเป็น “ฆาตกรที่ปราศจากวิญญาณ” ซึ่งเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามกันต่อหน้าสาธารณชนอย่างเลวร้ายที่สุดที่ประมุขแห่งรัฐรายหนึ่งกระทำกับอีกรายหนึ่งนอกช่วงเวลาสงคราม เวลานี้จีนกับรัสเซียกำลังร่วมมือกันทางด้านนโยบายเพื่อต่อต้านสหรัฐฯ

อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง ของจีน กล่าวกับทางคณะผู้เข้าเจรจาฝ่ายอเมริกันของเขาที่เมืองแองเคอเรจนั่นแหละ เมื่อสหรัฐฯพูดขึ้นมาเกี่ยวกับระเบียบระหว่างประเทศซึ่งยึดโยงอยู่กับกฎระเบียบ สิ่งที่จีนได้ยินคือการอ้างเหตุผลสร้างความชอบธรรมสำหรับการใช้อำนาจบังคับให้เป็นไปตามที่สหรัฐฯปรารถนาโดยอาศัยกำลังทหารอเมริกัน

“เราไม่เชื่อในเรื่องการรุกรานด้วยการใช้กำลังทหาร, หรือการโค่นล้มระบอบปกครองอื่นๆโดยใช้วิธีการหลายหลากนานา, หรือการเข้าสังหารหมู่ประชาชนของประเทศอื่นๆ เนื่องจากทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้รังแต่จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายและความไร้เสถียรภาพขึ้นมาในโลกนี้เท่านั้น และพิจารณาอย่างถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้จะไม่ให้ผลดีอะไรแก่สหรัฐฯหรอก” หวัง กล่าว

จีนก็สามารถเล่นบทป่วนบทก่อกวนได้เหมือนกัน

หมายเหตุผู้แปล

[1] เรื่องที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถูกสื่อมวลชนล้อเลียนว่า พูดถึงรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ต่อสาธารณชนว่าเป็น “คนที่ดูแลหน่วยงานนั่นตรงโน้น” (“the guy who runs that outfit over there,”) เกิดขึ้นในงานแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเพื่อแนะนำตัวนายพลหญิง 2 คน ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารของกองบัญชาการทหารหน่วยสู้รบของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม

ตามรายงานข่าวของเครือข่ายฟ็อกซ์นิวส์ ไบเดนที่เป็นประธานในงานดูเหมือนจะหลงลืมชื่อและตำแหน่งของออสติน

“และผมขอขอบคุณท่านรัฐ—ท่าน, ท่าน, เอ้อ อดีตพลเอก ผมคอยเรียกท่านว่าท่านนายพล อยู่เรื่อย แต่ ท่าน, ท่าน—คนที่ดูแลหน่วยงานนั่นตรงโน้น” ไบเดนบอก ("And I want to thank the sec — the, the, ah former general. I keep calling him general, but my, my — the guy who runs that outfit over there," Biden said.) ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.foxnews.com/politics/biden-seems-to-forget-defense-secretarys-name-calls-him-the-guy-who-runs-that-outfit
กำลังโหลดความคิดเห็น