สื่อมะกันเผยแพร่เทปเสียงทรัมป์บีบเจ้าหน้าที่ระดับสูงดูแลการเลือกตั้งของรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นสมาชิกรีพรรคพับลิกัน ให้ “หา” คะแนนเลือกตั้งจำนวนมากพอที่จะล้มล้างชัยชนะของไบเดนในรัฐนั้น ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ 10 คน จากทั้งสองพรรคใหญ่ ซึ่งรวมถึงคนที่ทรัมป์เคยแต่งตั้งมากับมือ ร่วมกันเรียกร้องเพนตากอนงดแทรกแซงการเมือง และให้ความร่วมมือเพื่อให้การถ่ายโอนอำนาจดำเนินไปอย่างราบรื่น
ตามเทปเสียงที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์นำเอามาเผยแพร่เป็นเจ้าแรก ระหว่างที่ทรัมป์พูดคุยทางโทรศัพท์กับแบรด ราฟเฟนส์เปอร์เกอร์ เลขาธิการ (secretary of state) ของรัฐจอร์เจีย เมื่อวันเสาร์ (2 ม.ค.) เขาพูดเตือนราฟเฟนส์เปอร์เกอร์ และ ไรมัน เยอรมนี ที่ปรึกษากฎหมายของราฟเฟนส์เปอร์เกอร์ ว่า อาจเจอ “ความเสี่ยงครั้งใหญ่” ถ้าไม่ทำตามคำขอของตน และสำทับว่า ชาวจอร์เจียกำลังโกรธมาก และราฟเฟนส์เปอร์เกอร์ควรออกมาแถลงว่า ได้นับคะแนนใหม่แล้ว
ในเทปยังมีเสียงราฟเฟนส์เปอร์เกอร์แย้งว่า ข้อมูลที่ทรัมป์มีอยู่นั้นผิดพลาด
ทั้งนี้ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ชนะในรัฐจอร์เจียซึ่งเคยเป็นฐานเสียงของรีพับลิกันมายาวนาน ด้วยคะแนนไม่ถึง 12,000 เสียง แต่เป็นตัวเลขที่รานเฟนส์เปอร์เกอร์ยืนยันว่าได้ผ่านการนับคะแนนมาแล้ว 3 รอบ ทางรัฐจึงประกาศรับรอง
ข่าวความพยายามของทรัมป์ในเรื่องนี้ ออกมาขณะที่ในวันอังคาร (5) หรืออีกเพียง 2 วันก่อนที่จอร์เจียจะมีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกทั้ง 2 ตำแหน่งในรอบตัดสิน สืบเนื่องจากในการโหวตเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนนั้น คะแนนของผู้เข้าที่ 1 และที่ 2 ซึ่งก็คือผู้สมัครของรีพับลิกันและเดโมแครตในการชิงชัยทั้ง 2 ตำแหน่งนี้คู่คี่กันมาก จนอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายของรัฐกำหนดให้ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่เพื่อตัดสินชี้ขาด โดยหากเดโมแครตเกิดชนะทั้ง 2 ตำแหน่ง ก็จะทำให้มีเสียงในวุฒิสภา 50 เสียงเท่ากันกับฝ่ายรีพับลิกัน แต่ตามรัฐธรรมนูญ รองประธานาธิบดีจะเป็นประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ดังนั้นจึงหมายความว่า เมื่อ โจ ไบเดน สาบานตัวขึ้นเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคมนี้ ว่าที่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ก็จะเป็นประธานวุฒิสภา ซึ่งจะทำให้ฝ่ายเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาสูงด้วย
นอกจากนี้แล้ว ในวันพุธ (6) รัฐสภาของสหรัฐฯมีกำหนดจะประชุมกันเพื่อรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนอย่างเป็นทางการ
การรับรองผลการเลือกตั้งเช่นนี้ ซึ่งเท่าที่ผ่านมามักเป็นแค่การปฏิบัติตามกระบวนการเท่านั้น โดยที่ใครเป็นผู้ชนะนั้นเป็นที่รับรู้และยอมรับกันตั้งแต่ภายหลังการเลือกตั้งไม่กี่วันแล้ว แต่เวลานี้ด้วยการดึงดันและโน้มน้าวของทรัมป์ จึงกำลังทำให้สมาชิกรีพับลิกันบางส่วนทั้งในสภาล่างและสภาสูงประกาศจะท้าทาย อันจะทำให้รัฐสภาต้องมีการพิจารณาอภิปรายกัน ถึงแม้เห็นกันทั่วไปว่า การคัดค้านนี้เรียกได้ว่าไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จเลย เป็นต้นว่า จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภา ขณะที่เวลานี้ สภาผู้แทนราษฎรควบคุมโดยพรรคเดโมแครต ส่วนในวุฒิสภาเอง แม้รีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่อย่างฉิวเฉียด แต่ก็มี ส.ว.จำนวนมากของรีพับลิกัน รวมทั้งระดับแกนนำ ออกมาเรียกร้องว่าอย่าท้าทายเลย และยอมรับเถอะว่าไบเดนคือผู้ชนะ
ด้านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ผู้ที่บันทึกเทปดังกล่าวคือเหล่าผู้ช่วยของราฟเฟนส์เปอร์เกอร์ โดยเจ้าตัวขอร้องว่า ไม่อยากให้นำเทปไปเผยแพร่เว้นแต่ทรัมป์จะโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐจอร์เจียหรือนำเรื่องที่คุยกันไปเผยแพร่ผิดๆ
วันอาทิตย์ก่อนที่จะมีการเผยแพร่เทปเสียง ทรัมป์ทวิตเรื่องการคุยโทรศัพท์ดังกล่าวโดยบอกว่า ราฟเฟนส์เปอร์เกอร์ไม่เต็มใจหรือไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับ “บัตรลงคะแนนใต้โต๊ะ” การทำลายบัตรลงคะแนน หรือผู้ลงคะแนนจากรัฐอื่นหรือบัตรผี และอีกมากมาย
ราฟเฟนส์เปอร์เกอร์ทวีตชี้แจงก่อนที่เทปเสียงจะถูกเผยแพร่ว่า สิ่งที่ทรัมป์พูดไม่เป็นความจริง และความจริงจะเปิดเผยออกมา
ภายหลังจากสื่อเผยแพร่เทปเสียง ทำเนียบขาวของดแสดงความคิดเห็น ขณะที่เดโมแครตนำโดย อดัม ชิฟฟ์ ส.ส.คนสำคัญกล่าวประณามการกระทำของทรัมป์ทันทีว่า เป็นความผิดทางอาญาและการลุแก่อำนาจโดยคนทุจริตที่กำลังจะกลายเป็นเผด็จการ ถ้าสภายอมให้เป็นแบบนั้น
คาร์ล เบิร์นสไตน์ หนึ่งในผู้สื่อข่าวที่เปิดโปงคดีวอเตอร์เกตจนริชาร์ด นิกสัน ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 1974 ชี้ว่า เทปเสียงนี้ถือเป็นหลักฐานมัดตัวทรัมป์ได้
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ราฟเฟนส์เปอร์เกอร์และเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเลขาธิการรัฐจอร์เจียเตือนว่า คำพูดยั่วยุของทรัมป์ทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย และตั้งข้อสังเกตว่า ภรรยาของราฟเฟนส์เบอร์เกอร์เคยถูกขู่คุกคามทางเพศ ขณะที่ราฟเฟนส์เปอร์เกอร์และเจ้าหน้าที่เลือกตั้งคนอื่นๆ ที่ปฏิเสธคำขอของทรัมป์ทั้งในจอร์เจียและรัฐต่างๆ ล้วนถูกกองเชียร์ประธานาธิบดีขู่ฆ่า
นอกจากนั้น ในวันอาทิตย์ วอชิงตันโพสต์ยังเผยแพร่บทความแสดงความคิดเห็นของอดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ 10 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งในจำนวนนี้ 2 คนทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้ง บทความนี้เรียกร้องว่า ถึงเวลาแล้วในการยอมรับว่า ทรัมป์แพ้การเลือกตั้งและไบเดนจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ที่จะถึง
บทความยังระบุว่า กองทัพไม่ควรมีบทบาทในการขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจให้ไบเดน เนื่องจากจะเข้าข่ายผิดกฎหมายและละเมิดรัฐธรรมนูญ และยังเรียกร้องให้คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ รักษาการรัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน งดยุ่งเกี่ยวกับความพยายามของทรัมป์ในการยื้อเก้าอี้ประธานาธิบดี แต่ควรช่วยให้การถ่ายโอนอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น
ผู้ที่ร่วมลงชื่อในบทความนี้ มีอาทิ ดิก เชนีย์, โดนัลด์ รัมสเฟลด์ ที่คุมเพนตากอนในสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุชของรีพับลิกัน, แอชตัน คาร์เตอร์ และ ลีออน พาเนตตา ของเดโมแครต ตลอดจนถึงรัฐมนตรี 2 คนที่ทรัมป์แต่งตั้งคือ เจมส์ แมตทิส และมาร์ก เอสเปอร์ ที่เพิ่งถูกทรัมป์ปลดหลังการเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)