ไบเดนแฉลิ่วล้อที่ทรัมป์แต่งตั้งในเพนตากอน ขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจ เตือนอเมริกากำลังเผชิญความเสี่ยงด้านความมั่นคงจาก “การไร้ความรับผิดชอบ” ของคนเหล่านี้ ขณะที่ทรัมป์ยังไม่ยอมแพ้ ประกาศชวนผู้สนับสนุนชุมนุมในกรุงวอชิงตันต้นปีหน้าเพื่อกดดันคองเกรสให้คัดค้านการรับรองชัยชนะของผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ด้าน “นิวยอร์กโพสต์” ของรูเพิร์ต เมอร์ดอคที่เคยเชียร์ทรัมป์สุดลิ่ม ออกบทบรรณาธิการเตือนสติประธานาธิบดีที่กำลังจะพ้นตำแหน่งให้ “เลิกบ้า” และยอมรับความพ่ายแพ้
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (28) หลังจากรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติจากทีมถ่ายโอนอำนาจซึ่งรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงแห่งชาติและการต่างประเทศของเขาแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงว่า บรรดาผู้ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยเหตุผลทางการเมืองในกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) และสำนักงบประมาณและการจัดการ ได้สร้าง “สิ่งกีดขวาง” ทำให้ตนไม่ได้ข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ เช่น “ภาพที่ชัดเจน” ของการจัดวางกำลังพลของสหรัฐฯ ทั่วโลก ซึ่งคงใช้คำอื่นบรรยายพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้นอกจาก “ไร้ความรับผิดชอบ”
นับจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน คณะบริหารทรัมป์ได้ยกเครื่องเพนตากอนครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการปลดมาร์ก เอสเปอร์ จากตำแหน่งรัฐมนตรี เนื่องจากคัดค้านความพยายามของประธานาธิบดีที่จะใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติก่อนหน้านี้
ด้าน คริส มิลเลอร์ ผู้ที่ทรัมป์แต่งตั้งให้เป็นรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม รีบออกคำแถลงในวันเดียวกัน อ้างว่าเพนตากอนให้ความร่วมมือกับทีมถ่ายโอนอำนาจของไบเดนมากกว่าที่คณะบริหารชุดใดๆ เคยทำมา และเจ้าหน้าที่ในกระทรวงจะยังคงทำงานอย่างโปร่งใสและให้ความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการถ่ายโอนอำนาจต่อไป
จนถึงตอนนี้ ทรัมป์ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง แม้ไบเดนกวาดคะแนนเสียงจากประชาชนได้มากกว่าถึงราว 7 ล้านคะแนน รวมทั้งได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 306 เสียง ต่อ 232 เสียงก็ตาม
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ทวิต 2 รอบเรียกร้องผู้สนับสนุนไปรวมตัวกันที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 6 มกราคม เพื่อกดดันไม่ให้รัฐสภาลงมติรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน โดยเขาอ้างอย่างไม่มีหลักฐานตามเคยว่า มีการโกงการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
การนัดรวมพลดังกล่าวซึ่งคาดว่า จะมีเหล่าผู้สนับสนุนทรัมป์จากทั่วประเทศนับพันคน ทำให้เกิดความกังวลกันว่า อาจเกิดเหตุการณ์รุนแรงครั้งใหม่ หลังจากการประท้วงของกลุ่มหนุนทรัมป์ ซึ่งรวมถึงกลุ่มพราวด์บอยส์ ที่เป็นพวกขวาจัดใช้ความรุนแรง เมื่อวันที่ 12 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีหลายคนถูกแทงและถูกจับกุมอีกนับสิบ
ก่อนหน้านี้ ผู้นำรีพับลิกันในวุฒิสภา แม้อยู่พรรคเดียวกับทรัมป์และเคยหงอให้ปรานาธิบดีผู้นี้มายาวนาน ได้ประกาศให้ลูกพรรคงดเข้าร่วมความพยายามขัดขวางการรับรองชัยชนะของไบเดนในคองเกรส
สัญญาณตอกย้ำว่า รีพับลิกันกำลังโดดเดี่ยวทรัมป์มากขึ้น ยังปรากฏชัดเจนจากการที่ ส.ส.พรรคนี้ถึง 109 คนเข้าร่วมกับฝ่ายเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรโหวตล้มล้างการใช้อำนาจวีโต้ของทรัมป์ ซึ่งต้องการคว่ำร่างกฎหมายนโยบายกลาโหมมูลค่า 740 ล้านดอลลาร์ ที่ผ่านความเห็นชอบของคองเกรสด้วยคะแนนกว่า 2 ใน 3 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สเตนีย์ โฮเยอร์ ผู้นำเสียงข้างมากของเดโมแครตในสภาล่าง แสดงความเชื่อมั่นว่า วุฒิสภาที่ควบคุมโดยรีพับลิกัน ก็จะโหวตให้ล้มล้างการวีโต้ของทรัมป์เช่นกัน โดยคาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ร่างกฎหมายนโยบายกลาโหมก็จะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปีที่ทรัมป์ถูกรัฐสภาล้มล้างอำนาจวีโต้
นอกจากนั้นในวันจันทร์ สภาล่างยังอนุมัติด้วยคะแนน 275 ต่อ 134 เสียง ให้เพิ่มการจ่ายเงินเยียวยาความเดือดร้อนจากโควิด-19 แก่ประชาชนจากคนละ 600 ดอลลาร์ เป็น 2,000 ดอลลาร์ ตามที่ทรัมป์เรียกร้องก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มว่า รีพับลิกันจะโหวตคัดค้านในวุฒิสภา
อีกหนึ่งสัญญาณตอกย้ำอิทธิพลที่เหือดหายของทรัมป์คือ บทบรรณาธิการฉบับวันอาทิตย์ (27) ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ ของรูเพิร์ต เมอร์ดอค หนึ่งในผู้ที่กระตือรือร้นสนับสนุนอดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์ผู้นี้มากที่สุด ได้กล่าวเรียกร้องให้ทรัมป์ “เลิกบ้า” และยอมรับความพ่ายแพ้ เพื่อไม่ให้ถูกจดจำในฐานะผู้ที่พยายามล้มล้างการปกครองและกฎหมาย
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)