“ทรัมป์” ทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมเซ็นผ่านกฎหมายเยียวยาโควิดและมาตรการใช้จ่ายของรัฐมูลค่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้หน่วยงานต่างๆ ของสหรัฐฯ รอดพ้นการชัตดาวน์ แต่สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสะสมภายในประเทศยังคงพุ่งแรงจนทะลุ 19 ล้านคนแล้ว และมีอเมริกันชนทุก 1 ใน 1000 คนเสียชีวิตจากโรคนี้ ด้านเกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์รายแรกๆ เป็นครอบครัวที่เดินทางจากอังกฤษ
ในวันอาทิตย์ (27 ธ.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมกลับลำจากการข่มขู่ใช้อำนาจยับยั้งร่างกฎหมายการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสมาชิกในรัฐสภาของทั้งพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต
ยังไม่มีใครทราบเหตุผลที่ทรัมป์เปลี่ยนใจครั้งนี้ แต่หลังจากที่เขาลงนามทำให้ร่างกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ทรัมป์ได้พยายามรักษาหน้า ด้วยการอธิบายการยึกยักของตนเองว่า เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าคองเกรสต้องตัดรายการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในร่างนี้ออก และต้องจัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้ ในตอนที่เขาทำท่าเหมือนจะใช้อำนาจวีโต้นั้น ทรัมป์เรียกร้องให้เพิ่มการจ่ายเช็กเยียวยาคนอเมริกันจากคนละ 600 ดอลลาร์ตามร่างกฎหมายนี้ เป็น 2,000 ดอลลาร์ โดยปรากฏว่าทางเดโมแครตรีบแห่สนับสนุนเพราะเป็นสิ่งที่พวกตนเรียกร้องมานานแล้ว แต่สมาชิกรีพับลิกันพรรคเดียวกับทรัมป์กลับคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ร่างที่ทรัมป์เซ็นประกาศใช้คราวนี้ ไม่ได้มีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงอะไรเลยจากที่เขาเคยเงื้อง่าทำท่ายับยั้งในตอนแรก
การลงนามรับรองของทรัมป์เท่ากับเป็นการต่ออายุสวัสดิการการว่างงานที่จ่ายให้ประชาชน 14 ล้านคนผ่านมาตรการเยียวยาฉบับก่อนหน้านี้ที่สิ้นสุดลงเมื่อวันเสาร์ (26)
นอกจากมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 มูลค่า 9 แสนล้านดอลลาร์แล้ว กฎหมายฉบับนี้ยังมีส่วนซึ่งเป็นงบประมาณการใช้จ่ายของหน่วยงานของรัฐบาล 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหากทรัมป์วีโต้ จะทำให้หน่วยงานบางแห่งของรัฐบาลต้องหยุดทำการตั้งแต่วันอังคาร (29) และลูกจ้างพนักงานภาครัฐหลายล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยงเรื่องจะไม่ได้รับค่าจ้าง
การกลับลำของทรัมป์คราวนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์รายงานยอดผู้ติดเชื้อสะสมของอเมริกาจนถึงเวลา 20.30 น. วันอาทิตย์ ว่าอยู่ที่ 19,107,675 ราย โดยจำนวนล้านคนสุดท้ายนั้นใช้เวลาเพียง 6 วัน
สำหรับจำนวนเคสใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 165,151 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตสะสมมีจำนวน 333,069 คน
ในวันเสาร์ที่ผ่านมา (26) จอห์นส์ฮอปกินส์ยังเปิดเผยผลการคำนวณที่พบว่ามี ชาวอเมริกันทุก 1 ใน 1,000 คนเสียชีวิตจากโควิด
นอกจากนั้น แม้มีชาวอเมริกันกว่า 1 ล้านคนได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาโดสแรกแล้ว แต่ น.พ.แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อชั้นนำของรัฐบาลสหรัฐฯ ย้ำเตือนในวันอาทิตย์ว่า สถานการณ์การระบาดที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง และอเมริกาจะเข้าสู่จุดวิกฤตจากการเดินทางในเทศกาลวันหยุดคริสต์มาสที่จะทำให้ไวรัสแพร่กระจายมากยิ่งขึ้น
กลับมาทางฝั่งเอเชีย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งเกาหลี (เคดีซีเอ) แถลงเมื่อวันจันทร์ (28) ว่า เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ครั้งแรก โดยเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน 3 คนที่เดินทางจากลอนดอนมาถึงเกาหลีใต้ในวันที่ 22 และได้ถูกกักตัวไว้แล้ว
เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ยังแถลงว่า จะห้ามเที่ยวบินตรงจากอังกฤษอีก 1 สัปดาห์จนถึงวันที่ 7 มกราคม รวมทั้งกำหนดให้ผู้เดินทางจากอังกฤษหรือแอฟริกาใต้ต้องตรวจหาเชื้อโควิดและได้ผลเป็นลบก่อนออกเดินทาง 72 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมีการเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า รัฐบาลจะขยายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด เป็นต้นว่า ห้ามคนชุมนุมกันเกิน 4 คนในเขตกรุงโซลและปริมณฑล ออกไปจนถึงต้นเดือนมกราคม
เคดีซีเอรายงานยอดผู้ติดเชื้อประจำวันจนถึงเที่ยงคืนวันอาทิตย์ อยู่ที่ 808 คน ซึ่งถือว่า ต่ำที่สุดนับจากทำสถิติสูงสุดที่ 1,241 คนเมื่อวันศุกร์ (25)
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขที่ลดลงอาจเป็นเพราะมีการตรวจน้อยลงในช่วงสุดสัปดาห์และเทศกาลคริสต์มาส
ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังเผชิญเสียงวิจารณ์มากขึ้นเรื่องความล่าช้าในการจัดซื้อและแจกจ่ายวัคซีน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารและยาประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะลดระยะเวลาพิจารณาอนุมัติวัคซีนและวิธีรักษาโควิดจากเฉลี่ย 180 วัน เหลือเพียง 40 วัน รวมทั้งลดระยะเวลาในการอนุมัติการแจกจ่ายและการขายวัคซีนจากเดิมหลายๆ เดือนเหลือราว 20 วัน
วันจันทร์ ประธานาธิบดีมุน แจอินแถลงว่า บุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงวัยจะได้ฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรกในเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งจะเร่งรัดฉีดวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้างต่อไป
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)