สถานการณ์ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ยังคงตึงเครียดเป็นคืนที่ 2 เมื่อวันอังคาร (27 ต.ค.) สืบเนื่องจากกรณีตำรวจกระหน่ำยิงชายผิวดำถือมีดที่ญาติบอกว่าเป็นโรคจิตไบโพลาร์ เสียชีวิตในคืนวันจันทร์ (26) ทำให้ชาวเมืองโกรธแค้นและออกไปชุมนุมประท้วงก่อนลุกลามเป็นความรุนแรงและการปล้นห้างร้านในย่านธุรกิจ
หนึ่งคืนหลังเหตุการณ์รุนแรงและการปล้นชิงในย่านเวสต์ฟิลาเดลเฟีย ใกล้ๆ กับจุดที่ วอลเตอร์ วอลเลซ หนุ่มผิวดำวัย 27 ปี ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตเมื่อบ่ายวันจันทร์ มีผู้ประท้วงหลายร้อยคนชวนกันเดินขบวนรอบใหม่เรียกร้องความยุติธรรมด้านเชื้อชาติ ขณะที่ตำรวจและกองกำลังป้องกันชาติเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
การเดินขบวนในคืนวันอังคาร (27) เริ่มต้นอย่างสงบเช่นเดียวกับในวันจันทร์ ก่อนที่จะค่อยๆ แปรสภาพเป็นการเผชิญหน้าเมื่อเวลาย่างเข้าสู่ยามวิกาล
ตำรวจฟิลาเดลเฟียเตือนผ่านทวิตเตอร์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงย่านแคสเตอร์และอรามิงโก เนื่องจากมีฝูงชนราว 1,000 คนเข้าไปปล้นในย่านธุรกิจดังกล่าวซ้ำรอยกับเมื่อคืนวันจันทร์
อย่างไรก็ดี การปะทะในวันอังคารมีขนาดและความรุนแรงน้อยกว่าวันจันทร์ที่มีเจ้าหน้าที่ถึง 30 นายได้รับบาดเจ็บ และผู้ประท้วงถูกจับกุมกว่า 90 คน
ทอม วูล์ฟ ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครต เรียกระดมกองกำลังป้องกันชาติ ซึ่งเป็นกองทหารระดับท้องถิ่นสังกัดกับรัฐ ให้ไปช่วยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินของฟิลาเดลเฟียรักษาความสงบเรียบร้อย
เหตุรุนแรงในวันจันทร์ปะทุขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการเผยแพร่คลิปที่วอลเลซผลักแม่ของตัวเองและเดินถือมีดเข้าไปหาตำรวจโดยไม่ฟังคำสั่งให้ทิ้งมีด ก่อนถูกตำรวจทั้ง 2 นายกระหน่ำยิงคนละ 7 นัด
ทนายความของครอบครัวเผยว่า ภรรยาของวอลเลซแจ้งกับตำรวจทั้งคู่แล้วว่า สามีของเธอป่วยเป็นโรคจิต “ไบโพลาร์” ก่อนที่ตำรวจจะเผชิญหน้าและยิงวอลเลซ ทั้งนี้ ไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางอารมณ์สองแบบเปลี่ยนแปลงไปมาสลับกัน คือ อารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ และอารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ
เหตุการณ์นี้ทำให้ฟิลาเดลเฟียเป็นจุดร้อนใหม่ในกระแสประท้วงซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วอเมริกานับจากวันที่ 25 พฤษภาคมที่ จอร์จ ฟลอยด์ ชายแอฟริกัน-อเมริกันที่ไม่มีอาวุธและสวมกุญแจมืออยู่ ถูกตำรวจผิวขาวในเมืองมินนิอาโปลิสนั่งใช้เข่ากดทับลำคอจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต
การประท้วงและการตอบโต้ของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทำให้ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและการใช้ความรุนแรงของตำรวจกลับมาเป็นประเด็นร้อนในศึกชิงทำเนียบขาวระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
ทรัมป์นั้นสนใจเหตุการณ์รุนแรงเพียงเพื่อใช้สนับสนุนนโยบายการรักษาความสงบเรียบร้อยของตัวเองเท่านั้น และทำเนียบขาวออกคำแถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า เป็นผลลัพธ์ล่าสุดจากสงครามระหว่างฝ่ายเสรีนิยมของเดโมแครตกับตำรวจ
ส่วน ไบเดน และคามาลา แฮร์ริส ผู้ร่วมทีมที่ลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ออกคำแถลงร่วมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของวอลเลซ ก่อนเรียกร้องให้ผู้ประท้วงงดใช้ความรุนแรงและระบุด้วยว่าการปล้นเป็นอาชญากรรมซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจไปจากโศกนาฎกรรมที่แท้จริง
ฟิลาเดลเฟียเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามเลือกตั้งที่แนวโน้มยังไม่แน่นอน และผู้สมัครทั้งสองต่างพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนเองเป็นผู้ชนะในการโหวตวันที่ 3 พฤศจิกายน
จิม เคนนีย์ นายกเทศมนตรีเมืองฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า คลิปวอลเลซถูกยิงทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี เคนนีย์แสดงความเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างรับมือการประท้วง รวมทั้งเจ้าของธุรกิจที่ร้านถูกปล้น
ด้านแฟรงก์ วาโนร์ ผู้บังคับการฝ่ายสอบสวน แถลงว่า ตำรวจเดินทางไปยังที่เกิดเหตุหลังได้รับแจ้งว่า มีผู้ชายตะโกนส่งเสียงดังและถือมีด และตำรวจทั้งคู่ยิงใส่วอลเลซคนละ 7 นัด แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเนื่องจากคดีนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน
ส่วน จอห์น แม็กเนสบี ประธานฟราเทอร์นัล ออร์เดอร์ ออฟ โปลิส ลอดจ์ 5 ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนตำรวจฟลอริดา ปกป้องตำรวจว่าต้องแก้ไขสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างมากและวอลเลซถือมีดเดินเข้าหาด้วยท่าทีก้าวร้าว
ทว่า รูสเวลต์ แบรนต์ ญาติของวอลเลซโต้ว่า เหตุการณ์คงจะจบลงต่างจากนี้มากถ้าตำรวจใช้ปืนช็อตไฟฟ้าแทน