รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - การดีเบตรอบสุดท้ายที่เพิ่งจบไปล่าสุดตามเวลาคืนวันพฤหัสบดี (22 ต.ค.) ของสหรัฐฯ ผู้สมัครทั้งสองเผชิญหน้ากันในเรื่องวิกฤตจัดการโควิด-19 ที่ทรัมป์ถูกไบเดนชี้ยังปล่อยให้เป็นต่อได้ไง แต่คราวนี้ผู้นำสหรัฐฯ ควบคุมตัวเองดีขึ้นบนเวที แต่ยังใช้เวลาพูดมากกว่าคู่แข่ง ส่วนไบเดนแก้ตัวปัญหาลูกชาย ไม่เคยได้แม้แต่เพนนีเดียวจากต่างชาติ ชี้ทรัมป์เป็นผู้นำที่กีดกันเชื้อชาติมากที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมีมา
รอยเตอร์รายงานวันนี้ (23 ต.ค.) ว่า ในการปะทะฝีปากของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จากทั้ง 2 พรรคเมื่อคืน (22) ที่ผ่านมา พบว่าปัญหาแก้วิกฤตโควิด-19 กลายเป็นกระเด็นใหญ่บนเวทีและเป็นสิ่งสำคัญที่ชาวอเมริกันต้องการทราบ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงอ้างตัวว่าไม่ใช่พวกนักการเมืองมืออาชีพเหมือนกับอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ พรรคเดโมแครต โจ ไบเดน และทรัมป์ถูกไบเดนชี้ว่า แค่เกือบ 4 ปีของการอยู่ในตำแหน่งของทรัมป์สร้างหายนะให้แก่ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหยิบยื่นความตายผ่านทางไวรัสโควิด-19 ให้แก่คนอเมริกัน
การปราศรัยรอบสุดท้ายของการดีเบตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกจัดขึ้นที่เมืองแนชวิล (Nashville) รัฐเทนเนสซี กลายเป็นหนึ่งในโอกาสสุดท้ายของทรัมป์ที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้นหลังจากข่าววิกฤตโรคไวรัสโควิด-19 กลายเป็นข่าวครอบงำการหาเสียง
ล่าสุดไวรัสทำให้มีผู้เสียชีวิต 223,024 คน และมีผู้ติดเชื้อ 8,406,718 คนในอเมริกา และมีผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลก 1,136,495 คน และผู้ติดเชื้อรวมทั่วโลก 41,640,295 คน ตัวเลขอ้างอิงจากมหาวิทยาจอห์นฮอปกินส์ประจำวันนี้(23)
ยาฮูนิวส์ชี้ว่า ไบเดนมาพร้อมแผนการและคำเตือนของการมาของฤดูหนาวเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ขณะที่ฝ่ายทรัมป์ยังให้คำมั่นสัญญาว่า ไวรัสจะหมดไปและผู้คนจำเป็นต้องออกมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงและต้องไม่หลบอยู่แต่ภายในห้องใต้ดินเหมือน โจ ไบเดน
พิธีกรประจำ NBC News คริสเตน เวลเกอร์ (Kristen Welker) เป็นผู้ดำเนินการในการโต้วาทีเมื่อคืนนี้
ทรัมป์ที่ได้เคยออกมาประกาศจะไม่มีการปิดประเทศรอบใหม่ และแผนการสู้วิกฤตการระบาดไวรัสโควิด-19 ของเขาสามารถสรุปออกมาได้คำเดียวคือ “วัคซีน” เหมือนเช่นผู้นำสหรัฐฯได้เคยออกมาย้ำหลายครั้งว่า วัคซีนโควิด-19 จะออกสู่สาธารณะโดยเร็ว ทำให้ไม่ต้องมีความจำเป็นของการสั่งล็อกดาวน์หรือมาตรการห้ามอื่นที่ไม่มีความสะดวกสบายเป็นต้นว่า คำสั่งการสวมหน้ากากอนามัย
ทรัมป์กล่าวย้ำบนเวทีว่า “เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน” และ “เราไม่สามารถปิดประเทศของเราได้”
และทำให้ไบเดนตั้งคำถามกลับว่า “เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างงั้นหรือ? ไม่เอาน่า พวกเรากำลังตายเพราะมัน” ยาฮูนิวส์ชี้ว่า ต่างจากทรัมป์ที่กลัวการปิดประเทศรอบใหม่ เพราะไบเดนเคยกล่าวหลายโอกาสว่า หากจำเป็นเขาจะสั่งให้มีการปิดประเทศ “ผมจะปิดมัน” ไบเดนประกาศในเดือนสิงหาคม และชี้ว่า “ผมจะฟังเสียงนักวิทยาศาสตร์”
โดยบนเวทีไบเดนที่ถึงแม้จะไม่ประกาศออกมาอย่างชัดเจนแต่ไบเดนชี้ว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจะใช้มาตรการควบคุมมากขึ้นต่อการจัดการประเทศในวิกฤตโรคไวรัสโควิด-19 ระบาดด้วยตัวเอง ต่างกับทรัมป์เลือกที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ว่าการรัฐแถมยังล้อเลียนแนวทางป้องกันทางสาธารณสุขที่ออกมาจากผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ เป็นต้นว่า ดร.แอนโธนี เฟาซี จนตัวเองติดโควิด-19
รอยเตอร์รายงานว่า การขึ้นพูดทรัมป์รอบนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีการควบคุมตัวเองดีขึ้นและมีความปั่นป่วนบนเวทีน้อยลง ขณะที่ CNN สื่อสหรัฐฯ อีกสำนักรายงานเป็นสถิติว่า ทรัมป์ใช้เวลาพูดบนเวทีราว 41.16% นานกว่าคู่แข่ง ไบเดนที่ได้มีโอกาสพูดแค่ 37.53%
ซึ่งบนเวทีไบเดนถูกทรัมป์โจมตีไปที่ปัญหาบุตรชาย ฮันเตอร์ ไบเดนกับปัญหายูเครน โดยกล่าวอย่างชัดเจนบนเวทีเมื่อคืนนี้ (22) ว่า เขาไม่เคยได้เงินแม้แต่เพนนีเดียวจากต่างประเทศ และกล่าวหากลับไปที่ตัวทรัมป์ถึงความพยายามของผู้นำสหรัฐฯที่จะเสียภาษีรายได้ต่ำที่สุดที่ถูกเปิดเผยจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า ทรัมป์แทบไม่เคยเสียภาษีให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เป็นเวลาเกือบ 20 ปี
ไบเดนกล่าวชี้ไปที่ทรัมป์ว่า พวกเราได้รู้ว่าประธานาธิบดีคนนี้จ่ายภาษีสูงกว่า 50 เท่าในจีน มีบัญชีธนาคารลับกับจีน ทำธุรกิจจีน แต่ในทางกลับกันกำลังพูดกล่าวหาผมถึงการได้รับเงินอย่างงั้นหรือ ผมไม่เคยได้รับเงินแม้แต่เพนนีเดียวไม่ว่าจากประเทศไหน”
ไบเดนยังกล่าวเปิดเผยต่อว่า เมื่อเทียบกับตัวเขาแล้ว เขาได้เปิดเผยการยื่นภาษีให้กับสาธารณะรับรู้มาเป็นเวลา 22 ปีต่างกับทรัมป์ที่ไม่แม้แต่ครั้งเดียว พร้อมกับตั้งคำถามว่าทรัมป์ต้องการปกปิดอะไร และประกาศว่า ให้เปิดเผยการเสียภาษีออกมาหรือหยุดกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชัน โดยหนึ่งในไฮไลท์พบว่า ไบเดนกล่าวหาว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่กีดกันเชื้อชาติมากที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมีมา
ทั้งนี้ CNN รายงานผลการสำรวจหลังการชมดีเบตที่เป็นการสำรวจถูกจัดโดย ดาต้า โปรเกรส เซอร์เวย์ (Data Progress Survey) พบว่ามีผู้ชมชาวอเมริกันให้ไบเดนชนะการดีเบตรอบสุดท้ายที่ 53% และทรัมป์ชนะที่ 39%