xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: ดีเบตแรกดุเดือด! ‘ทรัมป์’ พล่ามไม่หยุด-เจอ ‘ไบเดน’ สวน ‘หุบปาก’ สองฝ่ายซัดกันไม่ยั้งเรื่อง ‘ภาษี-ไวรัส-ประท้วงเหยียดผิว’

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บรรยากาศการประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กับ โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงบัลลังก์ทำเนียบขาวจากพรรคเดโมแครต เป็นไปอย่างดุเด็ดเผ็ดมันเมื่อค่ำวันอังคารที่ผ่านมา (29 ก.ย.) โดยต่างฝ่ายต่างก็หยิบยกประเด็นร้อนขึ้นมาโต้วาทีเพื่อโน้มน้าวหรือเปลี่ยนใจชาวอเมริกันที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้างในช่วง 5 สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 3 พ.ย.

ในขณะที่ชาวอเมริกันกว่า 1 ล้านคนเริ่มใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้ากันแล้ว ทำให้ศึกดีเบตที่จะจัดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้งมีเดิมพันสูงลิ่ว โดยเฉพาะกับ ทรัมป์ วัย 74 ปี ที่เหลือโอกาสไม่มากนักในการชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่ถูกมองว่าสอบตก ทั้งเรื่องการรับมือวิกฤตโรคระบาด และการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ

ไบเดน วัย 77 ปี มีคะแนนนิยมนำหน้า ทรัมป์ อยู่พอสมควรในโพลระดับชาติ แต่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในรัฐที่เป็นสมรภูมิหลักๆ กลับพบว่าทั้งคู่ยังทำคะแนนได้สูสีกันมาก

การประชันวิสัยทัศน์รอบแรกซึ่งกินเวลา 90 นาทีและมีการจำกัดจำนวนผู้ชมถูกจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัย เคส เวสเทิร์น รีเซิร์ฟ ในเมืองคลีฟแลนด์ โดยมี คริส วอลเลซ พิธีกรจากฟ็อกซ์นิวส์ ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งการดีเบตระหว่างคู่ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะจัดขึ้นทั้งหมด 3 รอบ ตามมาด้วยการดีเบตของผู้สมัครรองประธานาธิบดีอีก 1 รอบ

ดีเบตรอบแรกนี้มีผู้เข้าชมประมาณ 80 คน ประกอบด้วยครอบครัวของ ทรัมป์ และ ไบเดน, ทีมหาเสียง, ตัวแทนจากทางมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่, เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและความมั่นคง รวมถึงสื่อมวลชน

ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่การดีเบตจะเริ่มขึ้น ไบเดน ตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีในปี 2019 โดยพบว่าทั้งเขาและภรรยาจ่ายภาษีให้รัฐบาลกลางและชำระค่าอื่นๆ มากกว่า 346,000 ดอลลาร์ จากจำนวนรายได้ทั้งหมด 985,000 ดอลลาร์ และมีการขอคืนภาษีที่ชำระเกินไว้เกือบ 47,000 ดอลลาร์

ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือการชิงความได้เปรียบของไบเดน และตอกย้ำให้สังคมเห็นถึงพฤติกรรมไม่โปร่งใสของ ทรัมป์ ซึ่งแหวกธรรมเนียมของผู้นำสหรัฐฯ ด้วยการปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีมาโดยตลอด

เรื่องการเสียภาษีของ ทรัมป์ กลายมาเป็นประเด็นร้อนหลังจากที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สได้ตีแผ่ข้อมูลเมื่อวันอาทิตย์ (27) ว่า ทรัมป์ จ่ายภาษีเงินได้แค่ 750 ดอลลาร์ (ประมาณ 23,000 บาท) ในปี 2016 และ 2017 และไม่ได้เสียภาษีเลย 10 ปีในช่วง 15 ปีหลังสุด โดยใช้วิธีแจ้งสรรพากรว่าธุรกิจขาดทุนยับเยินเพื่อเอามาหักกลบกับรายได้จริงหลายร้อยล้านดอลลาร์

เอกสารยื่นภาษีของ ทรัมป์ ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการที่มหาเศรษฐีพันล้านรายนี้สามารถจ่ายภาษีเพียงเล็กน้อยหรือไม่จ่ายเลย ในขณะที่ชนชั้นกลางอเมริกันต้องจ่ายภาษีเฉลี่ยคนละ 12,200 ดอลลาร์ในปี 2017 หรือมากกว่าที่ ทรัมป์ จ่ายถึง 16 เท่า

นิวยอร์กไทม์สยังเปิดโปงวิธีแปลกๆ ที่ ทรัมป์ ใช้ลดหย่อนภาษี เช่น ขอหักจากค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าบ้าน เครื่องบิน และค่าทำผม 70,000 ดอลลาร์ระหว่างถ่ายทำรายการเรียลลิตีโชว์ “The Apprentice” ขณะเดียวกันดูเหมือนว่ายอดขาดทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเป็นเจ้าของและจัดการแต่เพียงผู้เดียวจะถูกนำไปหักกลบลบกับรายได้จากการถือหุ้นใน “The Apprentice” และนิติบุคคลอื่นๆ ที่มีเจ้าของหลายคน

ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ทรัมป์ ได้ยื่นเรื่องและรับภาษีเงินได้คืนรวมมูลค่า 72.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนิวยอร์กไทมส์ระบุว่ากลายเป็นประเด็นหลักในการตรวจสอบของสรรพากร และท้ายที่สุดอาจทำให้ ทรัมป์ ต้องจ่ายภาษีย้อนหลังกว่า 100 ล้านดอลลาร์

ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์สื่อที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอาทิตย์ (27) ว่ารายงานของนิวยอร์กไทมส์เป็น “ข่าวปลอม” และยืนยันว่าตนพร้อมเปิดเผยข้อมูลภาษีแน่นอน แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่


สำหรับการดีเบตนัดแรกเมื่อวันอังคาร (29) ผู้ชิงชัยทั้ง 2 ฝ่ายต่างเดินเข้าสู่เวทีอภิปรายโดยไม่มีการจับมือกัน เพื่อเคารพกฎการเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงที่โควิด-19 ระบาด จากนั้น ทรัมป์ และ ไบเดน ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อหลากหลายประเด็นทางการเมือง ทั้งเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่คร่าชีวิตอเมริกันชนไปแล้วกว่า 200,000 คน และทำให้มีคนตกงานอีกนับล้านๆ, การประท้วงต่อต้านความอยุติธรรมทางสีผิว รวมถึงข้อพิพาทเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่

พิธีกร คริส วอลเลซ ได้ยิงคำถามตรงๆ กับ ทรัมป์ ว่าตกลงเขาเสียภาษีเท่าไหร่แน่ระหว่างปี 2016-2017 ซึ่ง ทรัมป์ ยืนยันว่า “ผมเสียภาษีหลายล้านดอลลาร์ แล้วคุณก็จะได้เห็นเอง” ขณะที่ ไบเดน หยิบยกเรื่องนี้มาโจมตีว่าผู้นำสหรัฐฯ ว่าจ่ายภาษีน้อยกว่าครูในโรงเรียนด้วยซ้ำ

ไบเดน ยังพุ่งเป้าโจมตีมาตรการรับมือโควิด-19 ของ ทรัมป์ โดยระบุว่าผู้นำสหรัฐฯ “ตื่นตระหนก” กับวิกฤตโรคระบาด, ล้มเหลวในการปกป้องชีวิตชาวอเมริกัน ทั้งยังเห็นแก่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นมากกว่าจะคิดหาทางยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส

“คุณคือประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมี” ไบเดน เอ่ยเสริม พร้อมทั้งขอให้ ทรัมป์ เลิกขลุกตัวอยู่แต่ในสนามกอล์ฟและกลับมาทำงานจริงๆ จังๆ เสียที

ทรัมป์ ตอบโต้คำวิจารณ์ของ ไบเดน โดยยืนยันว่ารัฐบาล “ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม... แต่ผมจะบอกคุณให้นะโจ คุณไม่มีทางทำได้ดีเท่าพวกเราหรอก เพราะมันไม่ได้อยู่ในสายเลือดของคุณ”

ระหว่างการโต้วาที ทรัมป์ ยังหันไปโจมตีเรื่องส่วนตัว โดยกล่าวหาว่า ฮันเตอร์ ลูกชายของไบเดน มีพฤติกรรมทุจริต ขณะที่ ไบเดน ก็สวนกลับว่า ทรัมป์ เป็นพวก “โกหก” “เหยียดผิว” และ “ตัวตลก” รวมทั้งยังตราหน้า ทรัมป์ ว่าเป็น “ลูกหมา” ของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียด้วย

ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งทะเลาะกับสื่อเป็นประจำยังพยายามใช้เทคนิคเดิมๆ นั่นคือการพูดขัดคอคนอื่น กระทั่งพิธีกร คริส วอลเลซ ต้องเอ่ยย้ำว่าตนคือผู้ดำเนินรายการบนเวทีนี้ และ “ขอให้ท่านรองประธานาธิบดีได้พูดบ้าง” ขณะที่ ไบเดน เองก็ถูกขัดคอครั้งแล้วครั้งเล่าจนต้องตะคอกกลับว่า “ช่วยหุบปากหน่อยได้ไหม? ไม่สมกับเป็นประธานาธิบดีเลย”

ท่าทีก้าวร้าวต่อ ไบเดน อาจสร้างความสะใจให้แก่พวกฐานเสียงหัวรุนแรงของทรัมป์ก็จริง แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าในการดีเบตรอบนี้ผู้นำสหรัฐฯ แทบไม่ได้โน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยังคงสองจิตสองใจหรือ ‘swing voters’ โดยเฉพาะกลุ่มสตรี และไม่ได้พิสูจน์ให้ชาวอเมริกันเห็นว่าตนเองคือแคนดิเดตประธานาธิบดีที่ดีที่สุดที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาพื้นฐานของสังคมอย่างไวรัสโคโรนา, ระบบสาธารณสุข และความขัดแย้งทางเชื้อชาติ

“ผมไม่มั่นใจว่าการดีเบตที่น่าเอือมระอานี้จะเปลี่ยนใจคนฟังได้” รอน บอนเจียน นักยุทธศาสตร์สายรีพับลิกันในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมหาเสียงของ ทรัมป์ เมื่อปี 2016 ระบุ


ทรัมป์ ยังปฏิเสธที่จะใช้เวทีอภิปรายสดครั้งนี้ประณามพฤติกรรมของพวกคลั่งลัทธิผิวขาวเป็นใหญ่ (white supremacists) โดยเพียงแต่ขอให้นักเคลื่อนไหวขวาจัดกลุ่มหนึ่ง “ถอยไปและยืนสแตนด์บาย” ก่อนจะหันมาโจมตีนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายเหมือนเดิม

วอลเลซ ถาม ทรัมป์ ว่าเขาอยากจะใช้โอกาสนี้ตำหนิ “พวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ และกลุ่มติดอาวุธ” และขอให้คนเหล่านี้อย่าออกมาเพิ่มความวุ่นวายในช่วงที่อเมริกากำลังเผชิญเหตุประท้วงต้านเหยียดผิวหรือไม่ ซึ่ง ทรัมป์ ก็ตอบว่า “ผมยินดีทำทุกอย่าง” ก่อนยิงคำถามกลับว่าจะให้เอ่ยถึงกลุ่มไหน

เมื่อ ไบเดน เสนอว่าให้เอ่ยถึง ‘Proud Boys’ ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นกลุ่มที่เผยแผ่ความความเกลียดชัง (hate group) ทรัมป์ ก็กล่าวว่า “Proud Boys ผมขอให้พวกคุณถอยไปและยืนสแตนด์บาย” ก่อนจะพูดต่อทันทีว่า “แต่จะบอกอะไรให้นะ ต้องมีใครสักคนจัดการกับพวกแอนติฟาด้วย”

แอนติฟา หรือหรือขบวนการต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist Action) นั้นเป็นการรวมตัวอย่างหลวม ๆ ของกลุ่มคนที่มีแนวคิดเอียงซ้าย ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว และเพศในทุกรูปแบบ รวมทั้งต่อต้านนโยบายชาตินิยม กีดกันผู้อพยพและชาวมุสลิมของ ทรัมป์ ด้วย

ในประเด็นการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ ทรัมป์ อ้างว่าจำเป็นที่จะต้องกระทำอย่างรวดเร็วเนื่องจาก “การเลือกตั้งย่อมมีผลที่ตามมา” และตัวเขาเองมีสิทธิ์ที่จะทำได้ แม้จะมีเสียงท้วงติงจากพรรคเดโมแครตก็ตาม

“ผมขอพูดง่ายๆ นะว่าเราเป็นฝ่ายที่ชนะเลือกตั้ง และการเลือกตั้งย่อมต้องมีผลติดตามมา เราคุมเสียงในวุฒิสภาและทำเนียบขาว และเรามีนอมินีซึ่งทุกฝ่ายให้การยอมรับ” ทรัมป์ กล่าว โดยหมายถึง เอมี โคนีย์ บาร์เร็ตต์ ผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมที่เขาต้องการผลักดันเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่แทนที่ รูธ เบเดอร์ กินสเบิร์ก ที่เพิ่งเสียชีวิตลง

ไบเดน แย้งว่าตำแหน่งผู้พิพากษาที่ว่างลงนั้นควรแต่งตั้งหลังวันที่ 3 พ.ย. ไปแล้ว เพื่อให้ทราบชัดเจนก่อนว่าใครจะได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ พร้อมทั้งให้เหตุผลว่าการเพิ่มผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมเข้าไปในศาลสูงสุดจะยิ่งเป็นภัยคุกคามต่อกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act หรือที่เรียกกันว่า โอบามาแคร์ ขณะเดียวกันเขาก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของ ทรัมป์ ว่า หากได้เป็นผู้นำทำเนียบขาวจะพยายามเพิ่มจำนวนผู้พิพากษาเพื่อลดแนวโน้มการเอียงขวาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ หรือไม่

ในการดีเบตครั้งนี้ ทรัมป์ ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ ว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งหรือไม่ แต่หันไปกล่าวโจมตีระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์ และเตือนผู้ชมทางบ้านว่าศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนี้อาจ “จบไม่สวย”

แอรอน คอลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดีเบตในศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ให้ความเห็นว่า ทรัมป์ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากไม่สามารถก้าวข้ามกลยุทธ์เหยียดหยามไบเดน และโดยทั่วไปแล้วการประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรกมักจะมีผู้ชมมากกว่าครั้งต่อๆ ไป ซึ่งเท่ากับว่า ทรัมป์ เสียโอกาสที่จะสร้างความประทับใจในครั้งแรกไปแล้ว

ผลสำรวจความคิดเห็น CNN Poll ภายหลังศึกดีเบตจบลงพบว่า ผู้ชม 6 ใน 10 คนยกให้อดีตรองประธานาธิบดี ไบเดน เป็นผู้ชนะในยกแรก และมีเพียง 28% ที่เห็นว่า ทรัมป์ ทำคะแนนได้ดีกว่า

ผู้ชม 65% ระบุว่าคำตอบของ ไบเดน ฟังดู “จริงใจ” มากกว่าทรัมป์ ขณะที่ 29% พอใจการตอบคำถามของ ทรัมป์ มากกว่า, 69% มองว่าประเด็นที่ ไบเดน หยิบยกขึ้นมาโจมตีประธานาธิบดีมีความเป็นธรรม (fair) แต่มีเพียง 32% เท่านั้นที่คิดว่า ทรัมป์ โจมตี ไบเดน อย่างแฟร์ๆ

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจโดยรอยเตอร์/อิปซอสที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (30) ยังพบว่า ฐานเสียงรีพับลิกันส่วนใหญ่ยืนกรานที่จะเลือก ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีอีกหนึ่งสมัย แม้ 3 ใน 10 คนจะยอมรับว่ารู้สึกกังวลว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ ของ ทรัมป์ อาจส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขาในฐานะประธานาธิบดี ขณะที่ 2 ใน 10 มองว่า ทรัมป์ ไม่ได้จ่ายภาษีมากเท่าที่ควร






กำลังโหลดความคิดเห็น