ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (1 ต.ค.) บ่งชี้ว่าเขาจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของรูปแบบการโต้อภิปรายระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 ครั้งสุดท้าย หลังจากทางฝ่ายจัดบอกว่าจะปรับเปลี่ยนรูปแบบ เพื่อรับประกันว่าศึกดีเบตจะเป็นไปอย่างเรียบร้อยกว่าเดิม ขณะที่ผลโพลล่าสุดพบ โจ ไบเดน ยังมีคะแนนนิยมนำหน้าและรักษาระยะห่างไว้เท่าเดิม
“ทำไมผมถึงต้องยอมให้คณะกรรมการจัดการอภิปรายของผู้สมัครชิงประธานาธิบดี (Commission on Presidential Debates) แก้ไขกฎระเบียบสำหรับการดีเบตครั้งที่ 2 และ 3 ด้วยล่ะ ในเมื่อผมชนะใสๆ ในหนล่าสุด” ทรัมป์ระบุผ่านทวิตเตอร์
ผลสำรวจต่างหลังการดีเบตครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (29 ก.ย.) พบว่า ผู้ชมเชื่อว่า ไบเดน ทำผลงานได้ดีกว่าในศึกโต้อภิปรายที่พบเห็น คริส วอลเลซ ผู้ดำเนินรายการจากฟ็อกซ์นิวส์ ต้องร้องขอประธานาธิบดีซ้ำๆ ให้หยุดพูดแทรกขัดจังหวะของไบเดน และผู้สมัครทั้งสองคนหยิบยกเรื่องส่วนตัวโจมตีกันไปมา จนกลายเป็นฉากแห่งความยุ่งเหยิง
“ผมไม่เคยนึกฝันเลยว่ามันจะออกนอกเส้นทางไปมากขนาดนี้” วอลเลซ ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์สเมื่อวันพุธ (30 ก.ย.)
ไบเดนบอกในวันเดียวกันว่า เขากำลังตั้งตาคอยศึกดีเบตครั้งต่อไป แต่ไม่ขอคาดเดาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแก้ไขกฎระเบียบการโต้อภิปราย “เขาไม่ได้แค่โจมตีผมไม่หยุด แต่เขายังโจมตีผู้ดำเนินรายการด้วย” ไบเดนกล่าวระหว่างหาเสียงในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ “ผมแค่หวังว่าจะมีแนวทางที่คณะกรรมการสามารถควบคุมการตอบคำถามโดยไม่มีการขัดจังหวะใดๆ”
ด้านโฆษกทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดี (1 ต.ค.) ว่า ทรัมป์กำลังวางแผนสำหรับดีเบตครั้งต่อไป “แต่เขาต้องการให้กฎระเบียบต่างๆ มีความยุติธรรม โต้เถียงอย่างยุติธรรม และไม่ต้องการกฎระเบียบใดๆ ที่ออกมาเพื่อปกป้องความไร้ความสามารถของผู้สมัครบางคน”
อีกด้านหนึ่งผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนหลังผ่านพ้นศึกดีเบตรอบแรก พบว่า ไบเดนยังคงมีคะแนนนำ ทรัมป์ เท่าเดิม 9 จุด บ่งชี้ว่าอเมริกันชนส่วนใหญ่ได้เลือกตัวเลือกประธานาธิบดีของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ถึงเดือนก่อนถึงศึกเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน
จากผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอส ที่จัดทำระหว่างวันอังคาร (29 ก.ย.) จนถึงวันพฤหัสบดี (1 ต.ค.) พบว่ามีผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 50% ที่สนับสนุน ไบเดน ส่วน 41% บอกว่าจะโหวตให้ ทรัมป์ ที่เหลืออีก 4% ระบุจะให้ผูุ้สมัครรายอื่น และมี 5% ที่บอกว่าไม่แน่ใจ
ก่อนหน้านี้ ไบเดน มีคะแนนนำทรัมป์อยู่ 9 จุด ในผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 6 จาก 7 ครั้งหลังสุด ย้อนกลับไปในช่วงต้นเดือนกันยายน
โพลบ่งชี้ว่า ไบเดนยังคงเป็นตัวเต็งที่จะเป็นฝ่ายชนะในคะแนนป็อปปูลาร์โหวต อย่างไรก็ตามเพื่อชนะการเลือกตั้ง ผู้สมัครต้องรวบรวมจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง ให้ได้มากกว่าคู่แข่ง และโพลระดับรัฐหลายสำนัก พบว่าทรัมป์ ทำได้สูสีกับ ไบเดน ในรัฐสมรภูมิหลายรัฐ
ทั้งนี้ การเลือกตั้งในสหรัฐฯ คะแนนเลือกตั้งจะมี 2 แบบ เรียกว่าคะแนนเสียงจากประชาชน (popular vote) กับคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) การที่ประชาชนออกจากบ้านไปเลือกประธานาธิบดี ถือเป็น popular vote แต่คะแนนที่ได้เป็นคะแนนที่มอบให้กับคณะผู้เลือกตั้ง ที่ต้องไปเลือกประธานาธิบดีอีกทอดหนึ่ง เรียกว่า electoral vote
ผู้ที่จะชนะการเลือกตั้งและก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียง electoral vote เกินกึ่งหนึ่ง หรือ 270 เสียง ของจำนวน electoral vote ทั้งหมด 538 เสียง ในระบบการเลือกตั้งแบบคณะผู้เลือกตั้งนั้น แต่จะรัฐจะมีจำนวน electoral vote ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร ซึ่งหมายความว่ารัฐที่ใหญ่กว่าจะมี electoral vote มากกว่ารัฐเล็กๆ
ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้ชิงตำแหน่งมักจะได้รับคะแนนเสียงจากรัฐที่พรรคของตนมีฐานเสียงเหนียวแน่นอยู่แล้ว เมื่อประเมินจากผลการเลือกตั้งปีก่อนๆ พรรครีพับลิกันมักคว้าชัยชนะในรัฐแถบเทือกเขาและเขตที่ราบใหญ่ หรือเกรตเพลนส์ อย่างรัฐไอดาโฮ ไวโอมิง มอนทานา ไปจนถึงรัฐทางตอนใต้ อย่างแอละแบมา จอร์เจีย อาร์คันซอ
ขณะที่พรรคเดโมแครต มักคว้าชัยชนะในรัฐแถบมิดแอตแลนติก เช่น นิวยอร์ก นิวเจอร์ซีย์ แมริแลนด์ ไปจนถึงแถบเวสต์โคสต์ อย่างแคลิฟอร์เนีย ออริกอน วอชิงตัน และข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงรัฐฮาวาย
สถิตินี้หมายความว่า มีหลายรัฐที่แทบจะรู้ผลกันล่วงหน้าอยู่แล้วว่าผู้สมัครจากพรรคใดจะชนะ จึงเหลือเพียงไม่กี่รัฐที่ยังคงต้องลุ้นอย่างใกล้ชิด โดยเป็นรัฐที่ทรัมป์และไบเดนมีคะแนนสูสีและต่างก็มีโอกาสคว้าชัยชนะทั้งคู่ รัฐเหล่านี้เรียกว่ารัฐสมรภูมิ (Battleground State)