คณะผู้จัดการโต้อภิปรายระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมพิจารณาเปลี่ยนกฎการดีเบตเพื่อควบคุมการโต้วาทีให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย หลังศึกดีเบตนัดแรกเมื่อวันอังคาร (29 ก.ย.) เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน เนื่องจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พูดแทรกขัดจังหวะ โจ ไบเดน และผู้ดำเนินรายการเกือบตลอดเวลาจนแทบจะคุมการอภิปรายไม่ได้
ไบเดน เสนอให้นำปุ่มปิดเสียง (mute) เข้ามาช่วย ขณะที่ ทรัมป์ ก็ร้องเรียนว่าคณะกรรมการจัดการอภิปรายของผู้สมัครชิงประธานาธิบดี (Commission on Presidential Debates) เข้าข้างพรรคเดโมแครต
การประชันวิสัยทัศน์นาน 90 นาทีที่เมืองคลีฟแลนด์จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะพฤติกรรมของ ทรัมป์ ซึ่งใช้วาจายั่วโมโหและตั้งคำถามเกี่ยวกับระดับสติปัญญาของไบเดน ขณะที่ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตก็ด่า ทรัมป์ ว่าเป็นพวกเหยียดผิว, โกหก และเป็นประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดเท่าที่สหรัฐอเมริกาเคยมี
ทีมหาเสียงของ ไบเดิน ระดมเงินทุนได้เกือบ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระหว่างการดีเบต ซึ่งเพิ่มความได้เปรียบทางการเงินให้กับผู้สมัครเดโมแครตในช่วง 5 สัปดาห์สุดท้ายก่อนศึกเลือกตั้ง 3 พ.ย.
คณะกรรมการจัดการดีเบตแถลงวานนี้ (30 ก.ย.) ว่าจะมีการปรับแก้กฎใหม่เพื่อให้การอภิปรายครั้งถัดไปซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองไมอามีในวันที่ 15 ต.ค. “มีระเบียบมากขึ้น” โดยหลายฝ่ายคาดเดาว่าอาจจะมีการใช้ปุ่ม mute เพื่อปิดไมค์ของผู้สมัครที่พูดขัดจังหวะ
ทีมหาเสียง ทรัมป์ กล่าวหาคณะกรรมการว่า “ย้ายประตูและเปลี่ยนกฎระหว่างการแข่งขัน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ขณะที่ ทรัมป์ ก็ออกมาวิจารณ์ คริส วอลเลซ ผู้ดำเนินรายการจากฟ็อกซ์นิวส์ ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับความพยายามควบคุมการอภิปรายไม่ให้วุ่นวาย
“คริส มีค่ำคืนที่ยากลำบาก” ทรัมป์ ทวีตข้อความเมื่อเช้าวันพุธ (30) และเรียกการดีเบตนัดแรกว่าเป็นการต่อสู้แบบ “สองรุมหนึ่ง”
“อย่าลืมนะว่าพวกเขารุมเล่นงานผม ก็เพราะผมพยายามต่อสู้เพื่อพวกคุณ” ทรัมป์ กล่าวกับผู้สนับสนุนระหว่างการปราศรัยที่สนามบินในรัฐมินนิโซตา
ไบเดน ยื่นข้อเสนอวานนี้ (30) ให้คณะผู้จัดการดีเบตรอบต่อๆ ไปใช้วิธีปิดไมโครโฟนของผู้สมัครที่ยังไม่ถึงคิวพูด
“มันเป็นเรื่องน่าอับอายของประเทศชาติ” ไบเดน เอ่ยถึงการดีเบตที่เพิ่งผ่านพ้นไปและพฤติกรรมของทรัมป์ “ผมไม่ขอคาดเดาล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในการดีเบตครั้งที่ 2 และ 3”
การอภิปรายสดครั้งแรกระหว่าง ทรัมป์ และ ไบเดน มีผู้ชมประมาณ 73.1 ล้านคนผ่านสถานีโทรทัศน์ 16 แห่ง ซึ่งถือว่าน้อยกว่าการดีเบตนัดแรกของ ทรัมป์ และ ฮิลลารี คลินตัน เมื่อปี 2016 ที่มีผู้ชมมากถึง 84 ล้านคน
ที่มา : รอยเตอร์