เอเจนซีส์/mgrออนไลน์ - ปฏิกิริยาหลังการดีเบตรอบแรก ระหว่างประธานาธิบดี ทรัมป์ และคู่แข่ง โจ ไบเดน ที่พบว่า ผู้นำสหรัฐฯจ้อไม่หยุด และพยายามพูดแทรก หรือพูดระหว่างที่คู่แข่งกำลังอธิบายไม่ต่างจากเด็กอนุบาล โดย ฮิลลารี คลินตัน ที่เคยเจอทรัมป์รอบแรกปี 2016 มาแล้ว ทวีตออกมาถึงปัญหาที่ทรัมป์พูดไม่หยุดว่า “คุณไม่มีวันรู้” หรือ “You have no idea” ด้าน CNN รายงานผลสำรวจผู้ชมหลังดีเบต พบว่า 6 ใน 10 ให้ไบเดนชนะรอบแรก
หนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์ของสหรัฐฯ รายงานวันนี้ (30 ก.ย.) ว่า หลังการดีเบตประธานาธิบดีสหรัฐฯรอบแรก ที่รัฐโอไฮโอ เมื่อคืนวันอังคาร (29) ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต พบว่า อดีตคู่แข่งทรัมป์ปี 2016 ฮิลลารี คลินตัน ได้ทวีตตอบนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีชื่อดัง จิล ฟิลิโพวิค (Jill Filipovic) ได้ทวีตประโยคทองที่ไบเดนกล่าวกับทรัมป์ ว่า “คุณจะหยุดพูดได้ไหม”
ซึ่งเกิดขึ้นหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯใช้เวลาเกือบทั้งหมดของ 20 นาทีแรก และขณะที่กำลังมีการถกในเรื่องปัญหาการตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯคนใหม่ แทน รูธ เบเดอร์ กินสเบิร์ก ที่เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน พบว่า ทรัมป์พยายามขัดไบเดนตลอดเวลาระหว่างที่เขากำลังพูด ทำให้ฝ่ายไบเดนอดรนทนไม่ไหว และต้องเอ่ยวรรคทองที่ว่า “คุณจะหยุดพูดได้ไหม” หรือ “Will you shut up, man?” ซึ่งทางยูเอสเอทูเดย์กล่าวว่าถือเป็นประโยคที่ต้องจดจำได้ในคืนวันอังคาร (29)
และ ฟิลิโพวิค ยังทวีตต่อมาว่า “ดิฉันรู้สึกได้เลยกับฮิลลารีในเวลานี้ เพราะดิฉันเชื่อมั่นว่าเธอต้องการพูดเช่นนั้น แต่ไม่สามารถทำได้”
ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะฮิลลารีตอบทวีตของพิลิโพวิค โดยกล่าวว่า “คุณไม่มีวันรู้” หรือ “You have no idea”
หนังสือพิมพ์สหรัฐฯรายงานว่า เมื่อปี 2016 ที่ฮิลลารีซึ่งเป็นผู้สมัครหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบว่า ในการดีเบตรอบแรก เธอถูกทรัมป์ขัดจังหวะถึง 51 ครั้ง อ้างอิงการนับจากสื่อ VOX
แต่ในทางตรงข้ามพบว่า ฮิลลารีสามารถขัดจังหวะทรัมป์ได้แค่ 17 ครั้งเท่านั้น และไม่เหมือนไบเดน เธอต่อต้านการที่ต้องบอกทรัมป์ให้หยุดพูด
ซึ่งก่อนหน้าการดีเบต ฮิลลารีเปิดเผยความรู้สึกกับ ราเชล แมดโดว (Rachel Maddow) ผู้จัดชื่อดังจากสถานี MSNBC ว่า เธอจะเฝ้าชมการดีเบตครั้งนี้ด้วยความสนใจอย่างที่สุด และมีความคาดหวังในระดับหนึ่ง
ฮิลลารีแสดงความเห็นกับแมดโดว ว่า “ไม่มีเหมือน 4 ปีก่อน โดนัลด์ ทรัมป์ ในเวลานี้มีประวัติ” พร้อมกล่าวต่อว่า “ทุกคนได้เห็นถึงสิ่งที่เขาได้ทำลงไปต่อประเทศของเรา” พร้อมกันนี้ ยังแสดงความชื่นชมต่อไบเดนผู้สมัครร่วมพรรค ว่า มีความแข็งแกร่งและมีใจเมตตา
ซึ่งในช่วงระหว่างการดีเบตคืนวันอังคาร (29) ผู้นำสหรัฐฯตราหน้าไบเดนอยู่หลายครั้งว่า “เป็นพวกสังคมนิยม” โดยชี้ไปถึงปีกซ้ายก้าวหน้าภายในพรรคเดโมแครตภายใต้การนำของ เบอร์นี แซนเดอร์ส และ เอลิซาเบธ วอร์เรน
ซึ่งในสหรัฐฯคำว่า socialism หรือ socialist นั้น คนอเมริกันจะตีความหมายว่า เป็นพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แง่ลบมากในสังคมอเมริกา เพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศ เชื่อว่า การเป็นสังคมนิยมที่หมายความถึงการที่รัฐต้องจ่ายสวัสดิการโอบอุ้มประชาชนนั้น เหมือนรัฐคอมมิวนิสต์ และถือว่าเป็นพวกอ่อนแอในสายตาคนอเมริกันชนทั้งหลายที่เชื่อว่าทุกคนมีความเท่าเทียม และมีความรับผิดชอบต่อตนเอง โดยที่ไม่ต้องให้รัฐเข้ามาข้องเกี่ยวในการดำรงชีวิตของพวกเขา
ยูเอสเอทูเดย์รายงานว่า เป็นเวลา 15 นาทีเหมือนทั้งสองฝ่ายต่างประนีประนอมได้ แต่ก็ไม่นานเพราะพบว่าผู้นำสหรัฐฯเริ่มที่จะขัดจังหวะการพูดของคู่แข่งอีกครั้ง และแข่งพูดกับทั้งไบเดนและ คริส วอลเลซ ผู้จัดจากสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ไบเดนที่ทนไม่ไหวปรอทแตกถึงขั้นกล่าวบนเวทีว่า “มันเป็นการยากที่จะพูดออกไปแข่งกับตัวตลกรายนี้” พร้อมกับชูมือกลางอากาศเหมือนราวกับว่าเขาทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และบนเวทียังพบว่า ไบเดนกล่าวหาผู้นำสหรัฐฯว่าเป็นคนโกหกโดยชี้ว่า “ทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็นคนโกหก”
ซึ่งหลังจากที่ดีเบตได้จบลงสถานีโทรทัศน์ CNN ได้รายงานผลโพลสำรวจผู้ชมดีเบทรอบแรก พบว่า ประชาชนชาวอเมริกัน 6 ใน 10 ให้ไบเดนเป็นฝ่ายชนะรอบแรก และอีก 28% กล่าวว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะ
CNN รายงานว่า การสำรวจโพลผู้ชมดีเบตมาจาก SSRS โดยผลโพลสำรวจหลังดีเบทพบว่า 2 ใน 3 ของผู้ชม กล่าวว่า ไบเดนตอบคำถามตามความเป็นจริงมากกว่าทรัมป์ โดยไบเดนได้เรื่องการตอบคำถามตามความเป็นจริงไป 65% และทรัมป์ได้ไป 29%
และในด้านเศรษฐกิจเป็นที่น่าประหลาดใจที่พบว่า ไบเดนมีคะแนนนำทรัมป์ โดยได้ไป 50% ขณะที่ทรัมป์ได้ 48%
นอกจากนี้ จากทั้งหมดพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามชี้ว่า ไบเดนมีแผนการดีกว่าในการแก้ปัญหาประเทศโดยได้ไป 63% ส่วนทรัมป์ได้ไป 63% และในส่วนความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งพบว่าไบเดนได้ไป 55% และทรัมป์ได้ 43%
ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 57% กล่าวว่า การชมดีเบตรอบแรกไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจโหวต ส่วนเสียงส่วนน้อยที่ยอมรับว่าการชมดีเบตรอบแรกส่งผลต่อการตัดสินใจ เปิดเผยว่า มีจำนวนผู้ชมราว 32% มีแนวโน้มจะเลือกไบเดน และอีก 11% เลือกทรัมป์
อย่างไรก็ตาม CNN ชี้ว่า การสำรวจหลังการดีเบตนี้ ของ SSRS ถูกออกแบบมาสำหรับตัวแทนผู้ลงทะเบียนขอมีสิทธิเลือกตั้งใหญ่เดือนพฤศจิกายนนี้ที่ได้รับชมการดีเบตรอบแรกคืนวันอังคาร (29) จำนวน 568 คน โดยเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ผลสำรวจมีค่าความผิดพลาดอยู่ที่ 6.3% และผลสำรวจนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนอเมริกันทั้งหมด