(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)
Parting Trump salvo targets Ant Group and Huawei
by William Pesek
15/10/2020
คณะบริหารทรัมป์ซึ่งดูจะต้องประสบความปราชัยในการเลือกตั้งต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ กำลังเลือกดำเนินยุทธวิธีล่าถอยแบบเผาเรียบทำลายเรียบ โดยใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากในการระดมโจมตีใส่พวกบริษัทระดับเรือธงทางด้านเทคโนโลยีของจีน
เมื่อต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างค่อนข้างแน่นอนในการเลือกตั้งที่จะมาถึงอยู่รอมร่อ คณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ ในกรุงวอชิงตัน ก็กำลังเริ่มดำเนินการล่าถอยแบบเผาเรียบทำลายเรียบ (scorched-earth retreat) และปล่อยทิ้งความวิบัติหายนะของสงครามการค้าเอาไว้ตลอดทั้งสองฟากฝั่งแปซิฟิก ให้ส่งผลลัพธ์ต่อเนื่องไปอีกในอนาคตข้างหน้า
รายงานหลายกระแสจากสหรัฐฯเมื่อคืนวันพุธที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ระบุว่า กลุ่ม “แอนต์กรุ๊ป” (Ant Group) กิจการหนึ่งในเครืออาลีบาบา –ซึ่งกำลังจะกดปุ่มเข้าสู่การทำไอพีโอ (IPO ย่อมาจาก initial public offering การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก - ผู้แปล) ที่อาจจะได้มูลค่าราคาสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์— เวลานี้กำลังตกเป็นเป้าเล็งยิงของคณะบริหารทรัมป์แล้ว
และนี่เกิดขึ้นตามหลังรายงานข่าวอีกชิ้นหนึ่งซึ่งหลายกระแสพูดตรงกัน ที่ว่าพวกเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกำลังออกตระเวนไปในยุโรป เพื่อรบเร้าเรียกร้องเหล่าชาติพันธมิตรให้ตัดขาดความเชื่อมโยงทั้งหลายทั้งปวง ที่มีอยู่กับบริการด้านคลาวด์ (cloud services) ของ หัวเว่ย กิจการเรือธงของจีนในด้านเทคโนโลยี ซึ่งถูกคณะบริหารหมายหัวถือเป็นศัตรูประชาชนหมายเลขหนึ่ง
มันเป็นการรุกโจมตีในนาทีสุดท้ายของคณะบริหารทรัมป์ที่ดูเหมือนกำลังใกล้หมดอายุขัย มันจึงทั้งส่อแสดงให้เห็นถึงความหมดหวังสิ้นคิดในทางการเมือง และคติมุ่งทำลายล้างสร้างความพินาศทางเศรษฐกิจ
ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.reuters.com/article/us-usa-antfinancial-blacklist-exclusive/exclusive-trump-administration-to-consider-adding-chinas-ant-group-to-trade-blacklist-sources-idUSKBN26Z2UT) ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกน้องที่ช่างเอาอกเอาใจทรัมป์เสมอมา กำลังเสาะหาทางเพื่อชื่อ แอนต์ เข้าไปในบัญชีดำด้านการค้าของคณะบริหารทรัมป์
ความเคลื่อนไหวนี้ กำลังทำให้ แอนต์ ซึ่งเป็นบริษัทรับชำระเงินผ่านมือถือรายที่เป็นเจ้าตลาดของจีน กลายเป็นตัวแทนรายใหม่ของทรัมป์ ในความพยายามของเขาที่จะทำให้เศรษฐกิจของสี จิ้นผิง ตกอยู่ในอาการสะดุดไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้ และนี่ย่อมหมายความด้วยว่า แจ็ก หม่า ผู้ซึ่งถือเป็นแบบอย่างของจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการของจีน สามารถคาดหมายไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า แอนต์ คงจะถูกขึ้นบัญชีเอาไว้ใน “รายชื่อกิจการและบุคคล” (Entity List) อันน่าสะพรึงกลัวของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
แต่ว่านี่มันจะเป็นหมากที่ใช้ได้ผลจริงหรือ?
ในช่วงที่ผ่านมา การที่คณะบริหารทรัมป์ขึ้นอัตราภาษีศุลกากรเอากับสินค้าเข้าจากจีนรวมแล้วคิดเป็นมูลค่าเกือบๆ 500,000 ล้านดอลลาร์ ไม่ได้ส่งผลผลักไสปักกิ่งให้เซถลาไปติดขอบเหวแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ได้ส่งผลบีบบังคับให้ประธานาธิบดีสีต้องยินยอมขึ้นเครื่องบิน, ศีรษะก้มต่ำ และถือหมวกเอาไว้ในมืออย่างนอบน้อม เดินเข้าสู่โต๊ะเจรจาของวอชิงตันแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน การโจมตีอย่างเต็มที่สุดกำลังของทรัมป์ ต่อ หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ก็ไม่ได้กดดันบังคับให้ปักกิ่งต้องคุกเข่าค้อมหัวเช่นกัน ถึงแม้ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ วอชิงตันได้เปิดฉากระดมยิงใส่การส่งออกอุปกรณ์ 5จี ของหัวเว่ย รวมทั้งประกาศแซงก์ชั่นไม่ให้ซัปพลายเออร์รายต่างๆ ส่งชิปให้แก่บริษัทจีนแห่งนี้
มาถึงเวลานี้ แนวรบล่าสุดในภาคอุตสาหกรรมนี้ของสงครามการค้า กำลังพบเห็นพวกคนของพอมเพโอพยายามล็อบบี้บริษัททั้งหลายของยุโรป ให้ยุติการใช้บริการต่างๆ ของ หัวเว่ย ในปริมณฑลคลาวด์คอมพิวติ้ง
อย่างไรก็ตาม ข่าวการโจมตีเล่นงาน แอนต์ นั่นแหละ ที่บ่งชี้ให้เห็นว่าทรัมป์ต้องการที่จะก่อกวนขัดขวางสิ่งซึ่งกำลังทำท่าจะกลายเป็นกิจกรรมไอพีโอครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการที่ แอนต์ กำลังจะเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายหุ้นใน 2 ตลาดพร้อมกัน (dual listing) คือทั้งเซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง ซึ่งบางทีน่าจะสามารถระดมเงินได้สูงถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว ทว่าทำอย่างนี้แล้วจะเกิดผลอะไรขึ้นมา?
แน่นอนล่ะ ทั้งพอมเพโอ, ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro ที่ปรึกษาด้านนโยบายการค้าของทำเนียบขาว), และพวกยึดแนวทางแข็งกร้าวต่อจีนคนอื่นๆ ซึ่งทรัมป์พร้อมสนใจรับฟังนั้นต้องรู้สึกยินดีปรีดา แผนการของพวกเขากระทั่งอาจจะประสบความสำเร็จในการป้องปรามไม่ให้นักลงทุนสหรัฐฯบางรายเข้ามีส่วนร่วมในการทำ ไอพีโอ ของ แอนต์ ทีเดียว ทั้งนี้ การที่ แอนต์ เลือกเข้าตลาดหลักทรัพย์ของเซี่ยงไฮ้และของฮ่องกง ย่อมสามารถมองได้ว่าเป็นการบายพาสส์ไม่เข้าพึ่งพายุ่งเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE)
แต่เรื่องที่สมควรต้องคำนึงถึงกันมากกว่า ได้แก่ความเสียหายในระยะยาวไกล ซึ่งจะเกิดขึ้นกับคุณลักษณ์ความซื่อสัตย์จริงใจของทุนนิยมอเมริกา เฉกเช่นเดียวกับหนทางต่างๆ ที่จีนอาจหยิบมาใช้ในการตอบโต้แก้เผ็ด และก่อให้เกิดโลกใหม่แห่งความเจ็บปวดของสงครามการค้าขึ้นมาทั้งโลก
สิ่งที่จีนอาจใช้ตอบโต้แก้เผ็ด
องค์การการค้าโลก (World Trade Organization หรือ WTO) มีวิถีทางของตนเองในการสร้างความเจ็บปวดความเสียหายให้แก่ชาวทรัมป์ เมื่อเดือนที่แล้ว WTO ตัดสินว่าเรื่องที่ทรัมป์จัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมจากสินค้าจีนนั้นเป็นการละเมิดกฎระเบียบการค้าโลก (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.reuters.com/article/us-usa-trade-china-trump-idUSKBN26639D) ทรัมป์ได้แสดงปฏิกิริยาด้วยน้ำเสียงอาฆาตมาดร้ายอันกำกวมครุมเครือว่า “เราจะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ WTO นี่ เพราะพวกเขาปล่อยปละให้จีนรอดตัวไปได้ทั้งที่กระทำฆาตกรรม”
แต่กระทั่ง ณ ตอนจวนเจียนสิ้นสุดระยะเวลา 4 ปีแห่งการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา มันยังไม่มีความชัดเจนเอาเสียเลยว่า ทรัมป์นั้นได้เคยพิจารณาทบทวนอย่างถี่ถ้วนหรือไม่ ถึงหนทางวิธีการทั้งหลายที่รัฐบาลของสีสามารถนำมาใช้สร้างความเสียหายแก่พวกบริษัทอเมริกา
สี อาจจะลดค่าเงินหยวนเพื่อให้เกิดผลในทางได้เปรียบดุลการค้าในทันที เขาอาจจะฉีกทิ้งข้อตกลงการค้า “เฟสหนึ่ง” ซึ่งรับประกันที่จะซื้อหาสินค้ามูลค่าหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์จากพวกเกษตรกรในรัฐต่างๆ ซึ่งทรัมป์จะต้องชนะให้ได้ในวันที่ 3 พฤศจิกายน เขาอาจจะทำถึงขึ้นสั่งแบนผลิตภัณฑ์การเกษตรและผลิตภัณฑ์เนื้อวัวของสหรัฐฯเลยก็ยังได้
อย่างที่ เอเชียไทมส์ ได้เคยสำรวจพิจารณามาในอดีต (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asiatimes.com/2020/09/why-china-wont-weaponize-its-us-treasuries/) จีนอาจจะทำแค่เทขายตราสารหนี้กระทรวงการคลังสหรัฐฯที่ตนเองถืออยู่ โดยขายเป็นล็อตบิ๊กเบิ้มสักจำนวนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้เมื่อปี 2008 ขณะที่ วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ เลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) ประสบวิกฤตหนักหน่วง ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในตอนนั้น ได้พูดรำพึงรำพันออกมาเกี่ยวกับพันธบัตรคลังสหรัฐฯมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งจีนถือครองอยู่ ว่าทำให้ปักกิ่งมีฐานะเหนือวอชิงตัน โดยเธอได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า “คุณจะเล่นอะไรหนักๆ แรงๆ กับนายแบงก์ที่ปล่อยกู้ให้คุณได้ยังไง?”
แน่นอนทีเดียว ความโกลาหลอลหม่านที่เกิดจากการเทขายตราสารหนี้สหรัฐฯเช่นนั้น ย่อมกลายเป็นบูมเมอแรงส่งผลกระทบกลับไปที่จีนเองด้วย เป็นต้นว่า มันย่อมส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้น และนี่ก็จะสร้างความเสียหายให้แก่ดีมานด์ความต้องการในสินค้าแผ่นดินใหญ่ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯจะเป็นผู้ที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดมากมายมหาศาลยิ่งกว่า เมื่อตลาดต่างๆ ทั่วโลกจะต้องประเมินตรวจสอบกันใหม่ เกี่ยวกับตราสารหนี้ของกระทรวงการคลังอเมริกันซึ่งมีมูลค่ารวมกันราวๆ 27 ล้านล้านดอลลาร์
สี ยังอาจใช้วิธีขึ้นภาษีอย่างมโหฬารเอากับ วอลมาร์ท ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกสหรัฐฯซึ่งมีกิจการอยู่ในแดนมังกร หรือสั่งแบนการขายรถยนต์และรถกระบะรถบรรทุกอเมริกัน เขาอาจประกาศนโยบายให้จีนใช้เครื่องบินของแอร์บัสเท่านั้น มันก็จะสร้างความหายนะให้แก่ โบอิ้ง และบริษัทยักษ์ด้านการบินของสหรัฐฯรายอื่นๆ
จีนสามารถที่จะประกาศว่าไม่ส่งออกสินแร่แรร์เอิร์ธ ให้แก่ซิลิคอนแวลลีย์อีกต่อไปแล้ว ทำให้บริษัทเทคอเมริกันทั้งหลายอยู่ในอาการเกือบเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว ที่จะยังสามารถผลิตพวกแบตเตอรี, ชิปความจำ, และสมาร์ตโฟน ในระดับราคาซึ่งซื้อหากันไหว ออกสู่ตลาด
จีนอาจจะโทรศัพท์ติดต่อกับ อีลอน มัสค์ (Elon Musk) ในวันพรุ่งนี้ และบอกเขาให้ปิดโรงงานเทสลา ในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.businessinsider.com/tesla-cars-being-made-model-3-video-shanghai-china-factory-2020-8) ทำนองเดียวกัน จีนอาจจะโทรศัพท์ติดต่อตรงไปที่ แอปเปิล, โคคา-โคลา, โกลด์แมนแซคส์, แมคโดนัลด์ส, ไนกี้, สตาร์บัคส์, ตลอดจนพวกบรรษัทนานาชาติรายไหนก็ตามทีซึ่งกำลังให้บริการแบบอเมริกันเพื่อหากำไรในแดนมังกร
ฮอลลีวู้ด, พวกบริการสตรีมมิ่ง, และบริษัทเพลงทั้งหลาย ก็อาจถูกทางจีนแจ้งให้ทราบว่าให้ไปเผยแพร่คอนเทนต์ของพวกเขากันที่อื่น
สียังอาจจะสั่งระงับการผลิตข้าวของสินค้าทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลทรัมป์ และเพิกถอนสิทธิบัตรจีนทั้งหมดที่ได้เคยมอบให้แก่ อีวองกา บุตรสาวของทรัมป์อย่างมีลับลมคมในเมื่อไม่กี่ปีก่อน ปักกิ่งอาจจะสร้างแรงจูงใจให้พวกนักศึกษาแผ่นดินใหญ่ขอโอนหน่วยกิตออกจากฮาร์วาร์ด, มหาวิทยาลัยชิคาโก, และมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และหันไปเสียเงินแพงๆ เพื่อเข้ารับการศึกษาแบบตะวันตกในที่อื่นๆ
จีนยังอาจระงับไม่ให้คลื่นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มั่งคั่งร่ำรวยเงินหยวนเดินทางไปสหรัฐฯอีกต่อไป ในทันทีที่โรคระบาดใหญ่ โควิด-19 คลี่คลายลง อย่าลืมว่านี่เป็นอาวุธอย่างหนึ่งซึ่งปักกิ่งเคยนำออกมาใช้แล้วในการเล่นงานเกาหลีใต้ หลังจากที่ฝ่ายหลังเปิดไฟเขียวให้สหรัฐฯผู้เป็นพันธมิตรของตนเข้าไปติดตั้งประจำการระบบป้องกันขีปนาวุธที่ระบบเรดาร์ของมันสามารถก่อกวนสอดแนมกิจกรรมบนแผ่นดินจีน
การโจมตีในนาทีสุดท้าย
ทว่า ณ ขณะนี้ กลายเป็นตัวทรัมป์เอง (ซึ่งกำลังมองเห็นลู่ทางโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งอีกสมัยหนึ่งของผม กลายเป็นหมอกควันจางหายไป) ที่กำลังเป็นผู้ออกมาท้าตีท้าต่อยทั้งหลายทั้งปวง
ทรัมป์กำลังวางเดิมพันเพิ่มสูงขึ้นครั้งใหม่ (และกำลังเพิ่มแต้มต่อที่ปักกิ่งจะดำเนินการตอบโต้แก้เผ็ด) ด้วยการพยายามดึงห่วงที่ตนนำไปผูกคอหัวเว่ยอยู่ให้รัดแน่นยิ่งขึ้นอีก (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-10-15/huawei-besieged-on-new-european-front-after-u-s-targets-cloud)
พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกำลังออกตระเวนไปในสหภาพยุโรป กำลังรบเร้าเรียกร้องพวกยุโรปยกเลิกการให้หัวเว่ยเป็นซัปพลายเออร์ด้านแพลตฟอร์มคลาวด์ โดยหยิบยกเหตุผลข้ออ้างเรื่องความมั่นคง ทั้งนี้ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์นั้น (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.reuters.com/article/us-usa-huawei-tech-europe/u-s-renews-pressure-on-europe-to-ditch-huawei-in-new-networks-idUSKBN26K2MY) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คีธ แครช (Keith Krach) ไม่เพียงพบปะเจรจากับพวกสมาชิกรัฐสภายุโรปเท่านั้น แต่ยังหารือกับพวกผู้บริหารจากบริษัทต่างๆ อย่างเช่น ดอยต์เชอ เทเลคอม (Deutsche Telekom) และ มาสโมบิล (MasMovil) ผู้ให้บริการเทเลคอมของสเปน
นี่ทำให้การเข้าแทรกแซงเล่นงานหัวเว่ยมีความพิเศษผิดธรรมดาในทางการทูต โดยเป็นการใช้อำนาจสภาพนอกอาณาเขตในทางพฤตินัยไม่เพียงแค่ด้วยการพูดคุยกับรัฐบาลต่างๆ เท่านั้น แต่ยังพูดคุยโดยตรงกับพวกผู้ประกอบกิจการอีกด้วย
สำหรับการโจมตี แอนต์ ที่เพิ่งเปิดฉากขึ้นใหม่ๆ ของทรัมป์นั้น ดูจะมีความหนักแน่นน้อยกว่า เพราะถึงแม้แอป “อาลีเพย์” (Alipay) ของ แอนต์ ไม่ใช่ว่าในปัจจุบันพวกยูสเซอร์ชาวอเมริกันไม่สามารถหาใช้ได้ก็จริงอยู่ แต่ทีมงานของทรัมป์ดูเหมือนหวาดผวาไปแล้วว่ารัฐบาลของสีอาจจะสามารถเข้าถึงข้อมูลธนาคารของพวกยูสเซอร์ได้
ดังนั้น กลอุบายในการเล่นงาน แอนต์ ของทรัมป์ จึงไม่เหมือนกับการโจมตี หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ โดยที่ดูแล้วมีลักษณะเชิงสัญลักษณ์เสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นแล้ว พวกนักลงทุนสหรัฐฯยังสามารถที่จะเข้าถือครองหุ้นใน แอนต์ ตลอดจนในกิจการฟินเทคของจีนรายอื่นๆ ได้อยู่ดี ถ้าหากพวกเขามองเห็นว่ามันจะได้กำไรงามๆ ในเวลาต่อไป
แต่ท่านประธานาธิบดีครับ ควรต้องระมัดระวังกับอันนี้เอาไว้ให้มากนะครับ
มันจะมีความหมายอะไรที่จะกีดกันไม่ให้ สี ยกเว้นให้พวกวาณิชธนกิจสหรัฐฯ ได้เข้าวางเดิมพันขันต่อกับการทำไอพีโอต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้, เซินเจิ้น, หรือ ฮ่องกง? (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asiatimes.com/2020/10/ant-groups-march-is-what-trump-fears-the-most/) สภาพในเวลานี้นั้น มันไม่ใช่ว่าจีนและดินแดนปริมณฑลรอบๆ ยังคงมีดีมานด์ความต้องการด้านการลงทุนไม่เพียงพอ หรือมีเงินทุนไม่เพียงพอเลย
อย่างที่ สี ได้พูดเอาไว้ระหว่างกล่าวปราศรัยครั้งใหญ่ที่เซินเจิ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม นั่นแหละ เขาบอกว่า “เรากำลังก่อตั้งแบบแผนการพัฒนาแบบใหม่ขึ้นมา โดยที่แวดวงเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังแสดงบทบาทเป็นผู้นำ”
อีกไม่ช้าไม่นาน โครงการ เกรตเทอร์ เบย์ แอเรีย (Greater Bay Area) ซึ่งกำลังเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจระดับภูมิภาคในจีนตอนใต้รวม 9 แห่งเข้าด้วยกัน จะต้องสามารถดึงดูดใจให้โลกภายนอกเฝ้าติดตามการสร้างความมั่งคั่งในตลาดกระทิงที่กำลังจะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอีกหนทางหนึ่งซึ่งกลอุบายเล่นงาน แอนต์ ของทรัมป์ อาจจะเกิดผลด้านกลับขึ้นมา กล่าวคือ พวกบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯอย่าง มาสเตอร์การ์ด, (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://techcrunch.com/2020/02/11/mastercard-given-approval-to-prepare-for-entry-into-chinas-payments-market/ ) วีซา, และอื่นๆ ต่างกำลังพยายามเริ่มมีความสัมพันธ์กับพวกบริษัทรับชำระเงินของจีน ส่วนหนึ่งก็เพื่อหลีกหนีภาวะการถูกปิดเข้าไม่ถึงประเทศซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้
ความพยายามเหล่านี้อาจต้องสูญเปล่า ถ้าหากจีนดำเนินการตอบโต้แก้เผ็ด ต่อการใช้อารมณ์กราดเกรี้ยวตอบโต้ของตัวทรัมป์เอง
ต้องขอบคุณที่ทรัมป์ยังคงเป็นแค่ประธานาธิบดีแห่งสงครามการค้า ไม่ใช่ประธานาธิบดีแห่งสงครามจริงๆ กระนั้นก็ตามที ช่วงขณะแห่ง “การไล่งับหางตัวเอง” ของเขาก็ยังคงมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดการเข่นฆ่ากันอย่างเหี้ยมโหดกว้างขวางขึ้นมาได้
ทั้งจีนและทั้งภาคบริษัทอเมริกา อาจจะรู้สึกได้รับการปลอบประโลมใจจากสัญญาณทางการเมืองหลายอย่างหลายประการซึ่งกำลังทำนายว่า โจ ไบเดน คือผู้ที่จะได้เข้าไปพำนักในทำเนียบขาวในเดือนมกราคมปีหน้า โดยที่ไบเดนน่าจะยุติปิดฉากยุทธศาสตร์ฆ่าเรียบทำลายเรียบ ซึ่งพวกทรัมป์ในทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศดูเหมือนกำลังนำเอาออกมาใช้กันอยู่ในเวลานี้
ทว่ากระทั่งถ้าหากทรัมป์ถูกเตะให้ต้องไปเก็บของจัดกระเป๋าออกจากทำเนียบขาว พระเพลิงที่เขาเหลือทิ้งเอาไว้ให้ ก็จะยังคงคุกรุ่นต่อไปอีกพักใหญ่ทีเดียว
และความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ฐานะของอเมริกาในการเป็นมหาอำนาจไว้วางใจได้และมั่นคงมีเสถียรภาพ น่าที่จะยืดเยื้อยาวนานยิ่งกว่าความพยายามใดๆ ในการดึงรั้งการก้าวขึ้นสู่ระดับโลกของ แอนต์